ติดอาวุธฟ้าทะลายโจรรับมือโอมิครอน CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล

ติดอาวุธฟ้าทะลายโจรรับมือโอมิครอน CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล

 

 

 

 

CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล

 

ติดอาวุธฟ้าทะลายโจรรับมือโอมิครอน
 
 
 
ข่าวการแพร่ระบาดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดโอมิครอน ที่แม้จะแพร่ระบาดกระจายเร็ว แต่ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยน้อย บางรายไม่แสดงอาการ สื่อมวลชนรายงานว่าปลัดกระทรวง สาธารณสุขระบุว่า "โอมิครอน" จะอยู่กับเราประมาณ 2 เดือน จากนั้นจะค่อยๆ ลดลง คาดว่าภายในปีนี้ จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นเหมือนไข้หวัดทั่วไปได้
 
กระทรวงสาธารณสุขเสนอ 4 มาตราการในการรับมือโอมิครอน
1)ชะลอการระบาด ด้วยการตรวจวัดตนเองด้วยATK
2) มุ่งเน้นใช้ระบบดูแลที่บ้านและชุมชน (Home Isolation/Community Isolation) ถ้ามีอาการรุนแรงขึ้นสามารถใช้ระบบสายด่วนประสานการดูแลผู้ติดเชื้อ มีระบบติดตาม หากตรวจ ATK เป็นบวกที่บ้าน ให้ติดต่อสายด่วน สปสช. 1330 เมื่อติดต่อแล้วภายใน 6 ชั่วโมงจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปเพื่อประเมินอาการว่าหากรักษาที่บ้านได้ ก็รักษาที่บ้าน หากไม่ได้ให้รักษาที่ศูนย์แยกกักในชุมชน (Community Isolation) ซึ่งขณะนี้ 50 สำนักงานเขตของ กทม.มีการจัดเตรียมไว้แล้ว
 
3) มาตรการสังคม ประชาชนใช้การป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด สถานประกอบการมีระบบ Covid free setting ให้ผู้ประกอบการทำให้เป็นมาตรฐาน และตรวจ ATK สม่ำเสมอ เมื่อติดเชื้อไม่แสดงอาการจะเน้นการรักษาที่บ้าน
4) มาตรการสนับสนุน ค่าบริการรักษาพยาบาล และค่าตรวจต่างๆ
 
 
 
การระบาดของเชื้อโควิดโอมิครอนระลอกนี้ ถือเป็นการระบาดระลอกที่5 และทางสธ.เชื่อว่าภายในปีนี้โควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น เหมือนหวัดน้อยหวัดใหญ่ที่ประชาชนดูแลรักษาตัวเองได้
 
การที่สธ.กำหนดมาตรการหลักให้ประชาชนตรวจหาเชื้อด้วยตัวเองและกักตัวที่บ้านหรือในสถานกักตัวชุมชนเมื่อไม่มีอาการ และยอมให้ผู้ติดเชื้อบางรายที่ไม่แสดงอาการมาทำงานโดยสวมใส่แมส N95ได้ในกรณีที่บางสายงานขาดแคลนบุคคลากร นี่ย่อมแสดงว่า “โอมิครอน”เป็นเชื้อไวรัสที่ลดความรุนแรงลงมากแล้ว
 
ดิฉันขอเสนอวิธีการดูแลรักษาตัวเมื่อติดเชื้อไวรัสโอมิครอน
1)ผู้ได้รับเชื้อไวรัสจะมีอาการเป็นหวัด ถ้าไม่ได้ตรวจตัวเองด้วย ATK ก็สามารถใช้การรับรู้อาการความผิดปกติของร่างกาย เชื้อหวัดโอมิครอนจะมีอาการหลักที่ลำคอและทางเดินหายใจส่วนบน ดังนั้นใครที่มีอาการหวัด เจ็บคอ หายใจขัด ครั่นเนื้อครั่นตัว
คล้ายจะเป็นไข้ ให้กินฟ้าทะลายโจรทันที วันละ4ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ครั้งละ 4แคปซูล เป็นเวลา5วัน
 
2)ในกรณีคนที่ติดเชื้อโอมิครอนแล้วไม่แสดงอาการ หากไม่ได้ตรวจATK ก็จะไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่
ในกรณีนี้ ดิฉันใช้วิธีกินฟ้าทะลายโจร เมื่อต้องออกไปประชุม พบปะผู้คนหรือรับประทานอาหารร่วมกัน เพราะดิฉันจะถือว่าตัวเองมีความเสี่ยงในการสัมผัสผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว และเมื่อติดเชื้อแต่เชื้อยังไม่ขยายตัวมากจนแสดงอาการ ดิฉันจะกินฟ้าทะลายโจร วันละ3ครั้งๆละ3แคปซูลก่อนหรือหลังอาหาร เป็นเวลา 5วัน
 
ดิฉันเคยประชุมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตด้วยโควิดหลังจากการประชุมประมาณ2สัปดาห์ ในการประชุมครั้งนั้นไม่มีใครทราบว่ามีใครติดเชื้อหรือไม่ ดิฉันได้โทรหาผู้ร่วมประชุมในครั้งนั้น จึงทราบว่ามีผู้ติดเชื้ออีก 3คน และถึงขั้นต้องไปนอนรพ.2ท่าน ส่วนดิฉันและผู้ร่วมประชุมอีก2ท่านกินฟ้าทะลายโจร และไม่ได้ติดเชื้อโควิดในครั้งนั้น ดิฉันกินฟ้าทะลายโจรเป็นยารักษา เสมือนว่าดิฉันมีความเสี่ยงในการสัมผัสผู้ติดเชื้อ และอาจติดเชื้อด้วย จากการปฏิบัติเช่นนี้ ดิฉันจึงรอดพ้นจากการติดเชื้อโควิดมาตลอด
 
แม้มีครั้งหนึ่งช่วงระบาดระลอก2 ดิฉันมีอาการเจ็บคอเหมือนอาการกำลังจะเป็นหวัด ดิฉันกินฟ้าทะลายโจร และใช้วิธีอมฟ้าทะลายโจรลูกกลอนให้ยาค่อยๆละลายผ่านลำคอเพื่อให้ยาสัมผัสที่คอมากที่สุด เพียง2วัน ดิฉันก็รู้ว่าชนะแล้วอาการระคายคอหยุดลุกลามอย่างชัดเจน ดิฉันก็กินฟ้าทะลายโจรต่ออีก3วันก็หยุดยาได้
 
3)ฟ้าทะลายโจรสามารถใช้เป็นสมุนไพรช่วยปรับสมดุลภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติ (adaptogenic herb)
ต่อหวัดสายพันธุ์ต่างๆได้ตามปกติอยู่แล้ว แต่การกำจัดเชื้อไวรัสเป็นหน้าที่ของร่างกายที่แข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ การฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อไวรัสแต่ละสายพันธุ์เป็นเพียงทำให้ร่างการจดจำเชื้อไวรัสตัวนั้นๆว่าเป็นศัตรูมาคุกคาม และให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมากำจัดศัตรูตัวนั้น แต่การกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรน่า ทำให้ต้องมีการฉีดวัคซีนตัวใหม่ๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่การใช้ฟ้าทะลายโจรเสริมภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดทั่วไป ประกอบกับร่างกายที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับเชื้อโรค
 
ตามปกติคนที่เป็นหวัดทั่วไปหรือเป็นหวัดโควิด จะมีประมาณ 80% ที่จะหายได้เองโดยการใช้ยารักษาตามอาการ มีเพียง20% ที่อาจมีอาการรุนแรงที่ต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสที่เป็นโรคอุบัติใหม่อย่างไวรัสโคโรน่า SARS-CoV-2 ที่ก่อวิกฤตโรคระบาดยาวนานเข้าปีที่3 แต่ในที่สุดโคโรน่าไวรัสตัวนี้ ก็จะค่อยๆกลายเป็นโรคประจำถิ่นในที่สุด
 
ปัจจุบัน คนไทยได้รับวัคซีนโควิดไปแล้วกว่า100ล้านโดส และยังต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มเติมอีกเข็มแล้วเข็มเล่า ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ประเทศต้องสูญเสียเงินตราหลายแสนล้านบาทเพื่อนำเข้าวัคซีน ยา อุปกรณ์ตรวจหาเชื้อ และเวชภัณฑ์ต่างๆ เพื่อป้องกันการระบาดของโควิดที่ผ่านมาหลายระลอก
 
 
 
ภูมิปัญญาการแพทย์ดั้งเดิมเชื่อมั่นว่า ”โรคเกิดที่ใด ยาสมุนไพรรักษาก็อยู่ที่นั่น” ไม่ใช่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เกิดวิกฤตโรคระบาดในไทย สมุนไพรไทยเคยช่วยชีวิตคนไทยรอดพ้นมาได้เมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดมาแล้วหลายยุคหลายสมัย ในช่วงที่คนไทยเข้าไม่ถึงยาจากตะวันตก คนไทยเคยผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาดได้ด้วยยาสมุนไพรไทย และภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย มาแล้วทั้งสิ้น
 
ถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้องหันมาพึ่งพาทรัพยากร และยาที่ผลิตจากในประเทศ เพื่อใช้รักษา และส่งเสริมภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติให้สามารถรับมือกับไวรัสโอมิครอนให้ได้อย่างมีประสิทธิผล
รสนา โตสิตระกูล
11 มค. 2565