“เกาะปันหยี” วิถีหมู่บ้านกลางทะเล กับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

“เกาะปันหยี” วิถีหมู่บ้านกลางทะเล กับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

 

 

 

 

 

“เกาะปันหยี” วิถีหมู่บ้านกลางทะเล กับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

 

เกาะปันหยี หรือที่รู้จักกันดีในนามของ “หมู่บ้านกลางน้ำ” หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น โดยเป็นเกาะที่มีผู้คนอาศัยอยู่กลางทะเล ซึ่งสร้างชื่อให้เกาะปันหยีกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกของเมืองไทยมานานนับศตวรรษ และมีเสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้แวะเวียนมาสัมผัสความอัศจรรย์ของหมู่บ้านกลางน้ำ วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ตลอดจนธรรมชาติที่สวยสะกดทุกสายตาจนยากจะลืมเลือน

เกาะปันหยี เป็นเกาะหมู่บ้านชาวประมงที่มีขนาดเพียงหนึ่งไร่เศษเท่านั้น ปลูกสร้างอยู่กลางทะเลโดยไม่มีพื้นดินตั้งอยู่กลางอ่าวพังงา ชายฝั่งอันดามัน ในเขตตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมือง จังหวัดพังงา มานานกว่า 200 ปี โดยชื่อเกาะมีที่มาจาก “โต๊ะบาบู” ผู้นำชาวประมงของอินโดนีเซีย ได้อพยพเข้ามาเกาะนี้เป็นคนแรก และได้ปักธงเอาไว้แสดงให้พวกพ้องที่อพยพมาด้วยกันรู้ว่าเป็นสถานที่เหมาะสมที่จะตั้งบ้านเรือน ซึ่งคำว่า “ปันหยี” แปลว่า “ธง” นั่นเอง

ปัจจุบัน เกาะปันหยีมีผู้อาศัยอยู่ถึง 360 ครอบครัว ประชากรประมาณ 1,685 คน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม โดยหมู่บ้านแทบทั้งหมดสร้างอยู่ด้านหน้าของหน้าผาหินปูนเหนือน้ำทะเล เนื่องจากพื้นที่เกาะปันหยีมีจำนวนจำกัด ทำให้ต้องสร้างบ้านเรือน ร้านค้า และโรงเรียนในน้ำ โดยจะถูกยกพื้นสูงเพื่อหนีการขึ้น-ลงของน้ำทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำประมงพื้นบ้าน รวมไปถึงค้าขายของที่ระลึก และทำร้านอาหารบนเกาะ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการหาซื้อของฝากที่เกาะปันหยีต้องไม่พลาด “น้ำพริกกุ้งเสียบ” ที่ว่ากันว่ารสชาติอร่อยมาก และยังมีผลิตภัณฑ์สินค้าที่ระลึกอื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอย ผ้าบาติก สร้อย กำไล แหวน ที่ทำมาจากหอยมุก นอกจากนั้น ยังเป็นจุดพักรับประทานอาหารกลางวันของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาล่องเรืออ่าวพังงา ซึ่งพลาดไม่ได้กับอาหารทะเลที่ทั้งสดใหม่บนเกาะปันหยี ซึ่งมีหลายร้านคอยให้บริการ อาทิ มูเทียร่าห์ซีฟู้ด นิวเฟิร์นซีฟู้ด ซันนี่ซีฟู้ด อันดามันซีฟู้ด ปันหยีซีฟู้ด และร้านอาหารปันหยีบังกะโล เป็นต้น

โปรแกรมท่องเที่ยวเกาะปันหยีแบบเช้าเย็นกลับ ส่วนใหญ่จะแวะมาเพื่อรับประทานอาหาร เดินเล่นชมเกาะ และซื้อของฝากเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่หากต้องการสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนหมู่บ้านกลางทะเลอย่างแท้จริง ควรจะพักค้างคืนแบบโฮมสเตย์ เพื่อดื่มด่ำกับวิถีชีวิตและมนตร์เสน่ห์ของชาวเกาะปันหยีที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ บนวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างวิถีชาวเกาะกับขนบธรรมเนียมประเพณีมุสลิมแบบดั้งเดิมอย่างลงตัว

ที่พักบนเกาะปันหยีมีให้เลือกไม่มาก อาทิ เกาะปันหยีโฮมสเตย์ เจมส์บอนด์บังกะโล ปันหยีบังกะโล เป็นต้น แต่ละแห่งตั้งอยู่ริมทะเล ทำให้ผู้เข้าพักได้สัมผัสวิวทะเลอันดามันอย่างใกล้ชิด และได้เริ่มต้นทริปที่เกาะปันหยีพร้อมกับแสงแรกของดวงอาทิตย์ยามเช้าที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก... เช้าวันใหม่บนเกาะปันหยี นักท่องเที่ยวจะได้เห็นเรือเล็กเริ่มออกจากฝั่งเพื่อไปเก็บปลาในไซที่ดักไว้ตามท้องน้ำรอบเกาะ หรือดูแลปลาที่เลี้ยงไว้ในกระชัง บ้างก็เตรียมเรือเพื่อออกไปรับนักท่องเที่ยว ซึ่งนับเป็นรายได้หลักของที่นี่ ในขณะที่ร้านค้า ร้านอาหารเริ่มเปิดทำการ และเด็ก ๆ ออกจากบ้านไปโรงเรียน พร้อมกับรอยยิ้มและอัธยาศัยไมตรีของชาวบ้านที่มีให้เห็นได้ตลอดทั้งวัน ระหว่างวันมีแลนด์มาร์คจุดเช็คอินต่าง ๆ บนเกาะปันหยีมากมายให้ไปเยือน ไม่ว่าจะเป็น จุดถ่ายภาพไข่มุกปันหยี สะพานไม้ร้าน ลานวัฒนธรรมมัสยิด และไฮไลท์สำคัญของเกาะปันหยี “สนามฟุตบอลลอยน้ำ” แห่งเดียวในประเทศไทย และเป็น 1 ใน 3 สนามฟุตบอลที่สวยที่สุดในโลก ที่ได้รับการโหวตจากสื่ออังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2554 จนกลายเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของเกาะปันหยีที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยสนามฟุตบอลนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของเด็ก ๆ ในชุมชน จนพัฒนาเป็นทีม "ปันหยีเอฟซี" และประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ฟุตบอลหลายรายการ

นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรมท่องเที่ยวรอบเกาะ หรือที่เรียกว่า “ตะหลายเรือ” โดยการล่องเรือไปรอบอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาชมสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกเสียงว้าวได้ตลอดเส้นทาง ได้แก่ ภูเขาเขียน ชมภาพเขียนโบราณกว่า 1,500 ปี ปรากฏเป็นรูปต่าง ๆ เช่น ลิง ปลาโลมา และจระเข้ เป็นต้น ถ้ำลอด เกาะกลางทะเลที่มีช่องว่างระหว่างกลาง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถพายเรือแคนลอดผ่านเข้าไปได้ เขาตาปู หรือ James Bond Island เกาะโขดหินขนาดเล็กตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล ส่วนบนโปนออกและคอดกิ่วลงที่บริเวณฐานเหมือนกับตาของปู มีชื่อเสียงโด่งดังเนื่องทางทีมงานสร้างหนังอย่างฮอลลีวู้ดได้ยกกองมาถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดัง James Bond ตอนเพชฌฆาตปืนทอง และ เขาพิงกัน ภูเขาที่มีลักษณะพิเศษเป็นภูเขาสองลูกที่แนบชิดติดกันและแนวเขาเป็นเส้นตรงจากยอดเขาสู่ตีนเขา

เกาะปันหยียังมีเส้นทางปีนหน้าผาให้ท้าทายความสามารถอยู่ 15 เส้นทาง (ความยาก 5 - 6B) อยู่หลังชุมชนทางหน้าผาทิศตะวันออก หากได้มองเกาะปันหยีจากบนหน้าผาจะเห็นบ้าน “บ้านกลางน้ำ” ในมุมพาโรนาม่า หรือจะไปสัมผัสวิถีชาวประมงกับทริป “ออกเลเขเรือ” ชมป่าชายเลน ต้นโกงกาง ตื่นตาตื่นใจกับปลาตีน และการเก็บหอยโล่ ก่อนจะกลับมาปิดท้ายวันด้วยเมนูเด็ดอาหารพื้นเมืองอย่าง ใบโกงกางชุบแป้งทอด และแกงหอยโล่ พร้อม ๆ กับชมพระอาทิตย์ตกขนานผืนน้ำสุดสายตาที่สวยงามไม่แพ้กับที่ใด

จากการหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมเยือนของนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี บวกรวมกับความรักความผูกพันที่ชาวชุมชนมีต่อเกาะปันหยี จึงทำให้ชาวบ้านหมู่บ้านกลางทะเลแห่งนี้ ต่างมุ่งมั่นในการพัฒนาเกาะปันหยีให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของวิถีชุมชนที่เรียบง่ายอย่างครบถ้วน สอดคล้องกับแคมเปญ “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอีกด้วย โดยชาวบ้านและเยาวชนในเกาะปันหยีได้นำความรู้จากการเข้าร่วมโครงการอบรมด้านต่าง ๆ ซึ่งได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การอบรมภาษาอังกฤษ การทำสินค้าแฮนด์เมด การจัดการการท่องเที่ยว การกำจัดขยะ การดูแลสิ่งแวดล้อม และท้องทะเล มาใช้ในการพัฒนาชุมชนของเกาะปันหยีให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

โดยล่าสุด เกาะปันหยีได้มีการใช้ “พลังแสงอาทิตย์” หรือ “โซลาร์เซลล์” ทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากการปั่นไฟด้วยน้ำมันแบบเดิม ซึ่งช่วยลดค่าไฟฟ้าและค่านำมันลงอย่างมาก และยังลดปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมากจากคราบน้ำมันจากโรงปั่นไฟไหลลงทะเลด้วย ซึ่งได้นำร่องติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกที่โรงเรียนเกาะปันหยี โดยได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท นอร์ติส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานทดแทนในเมืองไทย

นางพรรณราย จรุงการ ผู้อำนวยการโรงเรียน ชำนาญการพิเศษ หัวเรือใหญ่แห่ง โรงเรียนเกาะปันหยี เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันให้เกาะปันหยีเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนต้นแบบที่ยั่งยืนว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับการสนับสนุนแผงโซลาร์เซลล์จาก นอร์ติส เอ็นเนอร์ยี่ โดยนำร่องติดตั้งที่โรงเรียนเล็ก ๆ ของเราเป็นแห่งแรกบนเกาะปันหยี ซึ่งช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าลงได้อย่างมาก เพื่อนำเงินที่เหลือจากส่วนนั้นนำมาพัฒนาโรงเรียน และจัดหาอุปกรณ์การเรียน รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสร้างความรู้ให้แก่นักเรียนเพื่อนำในการพัฒนาชุมชนต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นและอยากให้เกาะปันหยีของเราสวยงามและน่าอยู่อย่างยั่งยืนด้วยฝีมือของคนในชุมชนเอง”

ด้าน นางสาวประภารัตน์ ตังควัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ติส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ผู้มองเห็นความสำคัญของการประหยัดพลังงานซึ่งจะเป็นหนทางของการสร้างชุมชนที่ยั่งยืน กล่าวว่า “การติดตั้งระบบพลังงานแสดงอาทิตย์ให้กับชุมชนเกาะปันหยีในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “โครงการเติมฝันให้น้องด้วยพลังงานสะอาด” ด้วยกำลังขนาด 3,500 วัตต์ สามารถใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในโรงเรียน หลอดไฟ พัดลม รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยโรงเรียนเกาะปันหยีจะประหยัดพลังงานจากการผลิตไฟฟ้าประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 316 หน่วย คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ให้แก่นักเรียนและชาวชุมชนผู้สนใจ และจะช่วยให้สังคมตระหนักถึงการประหยัดพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นอีกด้วย
“เราเชื่อว่า สังคมคุณภาพที่ตระหนักเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ใช้ และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราคาดว่า จะมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างแพร่หลายในสังคมไทยในอนาคตจนส่งผลให้เกิด Green Community อย่างยั่งยืน เช่นเดียวกัน เราจะยังคงสนับสนุนการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับเกาะปันหยีอย่างต่อเนื่อง เพราะอยากเห็นเกาะปันหยีเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและสวยงามตลอดไป” ประภารัตน์กล่าวปิดท้าย

Tips:
• การเดินทางไปยังเกาะปันหยี โดยเรือหางยาวราคาคนละ 200 บาท (ไป-กลับ) หรือเหมาเรือเริ่มต้น 1,500 บาทต่อลำ 3 ชั่วโมง
• บนเกาะปันหยีไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่ควรนำติดตัวเข้าไป เพื่อเป็นการรักษาวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามของชาวบ้าน
• สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการหาซื้อของฝากที่เกาะปันหยี ต้องไม่พลาด “น้ำพริกกุ้งเสียบ” ที่ว่ากันว่ารสชาติอร่อยมาก
• สอบถามรายละเอียดการท่องเที่ยวเกาะปันหยีเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริการส่วนตำบลเกาะปันหยี โทรศัพท์ 076 440 425 หรือ เว็บไซต์ www.kohpanyee.go.th

**ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ Kohpanyee.go.th
วิกีพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/เกาะปันหยี
www.ท่องทั่วไทย.com