“ข้าวไร่วังขรี” พลังสร้างสรรค์แห่งการปลดล็อกสู่แรงบันดาลใจ

“ข้าวไร่วังขรี” พลังสร้างสรรค์แห่งการปลดล็อกสู่แรงบันดาลใจ

 

 
 
 

ข้าวไร่วังขรี” พลังสร้างสรรค์แห่งการปลดล็อกสู่แรงบันดาลใจ

“ประโยชน์สุข” จุดไอเดียปั้นแบรนด์ เพิ่มคุณค่า พาชุมชนเติบโตไปด้วยกัน

 

 

เพราะมองว่าเส้นทางทำนาเป็นภาระที่เหนื่อยหนัก “พี่หนู-สุจิตรา ป้านวัน” ประธานชุมชนวังขรีวิถียั่งยืน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช จึงต่อต้านความตั้งใจของแม่ที่อยากให้สืบสานการทำข้าวไร่ แต่ภาพของแม่ที่มีความมุ่งมั่นอนุรักษ์ “ข้าวไร่” ลงแรงปลูกสืบต่อมากว่า 46 ปี จนได้รับเกียรติเป็นมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ด้านข้าวไร่ กลายเป็นจุดเปลี่ยนและสร้างแรงบันดาลใจในการสานต่อมรดกจากแม่ ตั้งใจปลุกชีวิตข้าวไร่ให้กลับคืนมา โดยรวมกลุ่มผู้สูงอายุและคนในชุมชนตั้งเป็น “วิสาหกิจชุมชนข้าวไร่วังขรี” ใช้ที่ดินผืนเดิมสร้างอาชีพและความภาคภูมิใจ

“พี่หนู” ได้รับแรงบันดาลใจและความรู้ในการสร้างสรรค์แบรนด์ “ข้าวไร่วังขรี” หลังเข้าร่วมโครงการ “ประโยชน์สุข” พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาเทคนิคการขายผ่านออนไลน์ เช่น Facebook และ TikTok จนสามารถสร้างยอดขายกว่า 35,000 บาทต่อเดือนภายใน 3 เดือน และปัจจุบันได้ขยายผลสู่เยาวชนและกลุ่มเปราะบางในชุมชน ถ่ายทอดวิถีการปลูกข้าวไร่ให้คนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างรายได้ และความยั่งยืนให้ชุมชนวังขรีเติบโตไปด้วยกัน

 

ข้าวไร่…ที่พาให้ลูกคนหนึ่งกลับมาเข้าใจแม่อีกครั้ง

ย้อนไปในอดีต ผู้คนใน อ.ทุ่งสง ต่างเลี้ยงชีพด้วยการทำนาปลูกข้าวเป็นหลัก จนเมื่อเวลาผ่านไป วิถีของชาวบ้านค่อย ๆ เปลี่ยนไปปลูกยางและปาล์ม เพราะรายได้มั่นคงกว่า เห็นผลเร็วกว่า สวนยางเก็บน้ำยางได้ทุกวัน ส่วนสวนปาล์มเก็บเกี่ยวได้เดือนละสองครั้ง แต่แม่ของพี่หนูยังคงอยากอนุรักษ์ “ข้าวไร่” เอาไว้ จึงแบ่งพื้นที่หนึ่งส่วนไว้เพาะปลูก และหวังให้ลูกเข้ามาสืบต่อ

“เมื่อก่อนพี่หนูปฏิเสธอย่างหนักแน่นค่ะ เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าปลูกข้าวเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ขายได้แค่กิโลกรัมละ 50 บาท อีกอย่างตอนนั้นพี่หนูคิดว่างานราชการที่ทำอยู่ ทั้งดูแลเด็กเปราะบาง ทั้งเก็บขยะในชุมชน ก็คือการช่วยสังคมเหมือนกัน ความไม่เข้าใจกันตรงนี้มันค่อย ๆ สะสมเป็นกำแพงในใจ จนช่วงหนึ่งไม่อยากคุยกับพ่อแม่เลย และไม่กลับบ้านนานเป็นเดือน ทั้งที่อยู่ห่างกันแค่ 15 กิโลเมตรเท่านั้น”

 

 

 

ข้าวรวงเล็ก ๆ เหล่านี้…คือเรื่องราวที่ทำให้ลูกคนหนึ่ง ได้กลับมาเข้าใจหัวใจของแม่อีกครั้ง

 

 

จุดเปลี่ยน “ปลดล็อก” สู่แรงบันดาลใจ

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของพี่หนู เริ่มต้นจากความคิดถึงที่พาให้ตัดสินใจกลับบ้านในเย็นวันหนึ่ง หลังเลิกงาน และได้เห็นภาพพ่อแม่วัยชรา กำลังช่วยกันลากข้าวสารที่ตากไว้กลางสายฝน ภาพนั้นทำให้หัวใจสะเทือน และตั้งคำถามกับตัวเองว่า เหตุใดจึงปล่อยให้ครอบครัวลำบาก ทั้งที่แม่เป็นคนสร้างวิสาหกิจชุมชนข้าวไร่ ดูแลชุมชน แจกเมล็ดพันธุ์ และผลักดันงานวิจัยพันธุ์เม็ดฝ้าย 62 จนได้รับมาตรฐาน

ความรู้สึกวันนั้น กลายเป็นจุดที่ “ปลดล็อก” พี่หนูจึงตัดสินใจขอแม่สอนการปลูกข้าวไร่ อาชีพที่ใช้เวลาเพียง 150 วัน และต้องการน้ำแค่ช่วงแรก ก่อนจะปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติเหมือนความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ กลับมางอกงามอีกครั้ง

 

 

 

ข้าวไร่ที่แม่ปลูก…พาลูกกลับมาหาความหมายของครอบครัว

 

“พี่หนูมีเวลาว่างเพียงตอนเย็น หลังเลิกงานหกโมงจึงค่อยลงนา เก็บข้าวทีละรวงบนพื้นที่ 2 ไร่ ทั้งที่เสาร์–อาทิตย์ก็ต้องออกไปช่วยชุมชนต่อ ความเหนื่อยสะสม จนเคยร้องไห้อย่างหนัก เพราะตากข้าวเตรียมจะนำไปสี แต่พอกลับมาบ้านฝนตกหนัก ข้าวที่ตากไว้เปียกหมด”

 

 

 

 

 

คัดเมล็ดข้าวอย่างตั้งใจ เพื่อสืบต่อภูมิปัญญาที่แม่ส่งให้

 

สร้างสรรค์แบรนด์จากแม่สู่ลูก พาชุมชนเติบโตไปด้วยกัน

สานต่อมรดกข้าวไร่จากแม่ หลังค้นพบความหมายใหม่ของชีวิต และกลับมาเป็นลูกที่ได้พูดคุยกับแม่มากขึ้น“แม่มีวิสาหกิจชุมชนข้าวไร่หนองค้าสามัคคีที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ขณะที่พี่หนูเองมีกลุ่มเยาวชน จึงอยากเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เข้ามาเรียนรู้การปลูกข้าวไร่ด้วยกัน วันนี้พี่หนูรู้สึกว่าได้ ปลดล็อกตัวเอง แล้ว หลังจากเข้าร่วมโครงการ โรงเรียนผู้นำชุมชนประโยชน์สุข ของเอสซีจี ที่ช่วยเปิดมุมมองใหม่ และกลายเป็นสะพานเชื่อมหัวใจให้ได้กลับมาคุยกับแม่มากขึ้น ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม” พี่หนูกล่าวทิ้งท้าย

“ข้าววังขรี” จึงไม่ใช่แค่เมล็ดพันธุ์ข้าวธรรมดา แต่คือผลผลิตจากการปลดล็อกตัวเองออกจากความขัดแย้งในใจ เปลี่ยนเป็นพลังของการเริ่มต้นใหม่ พร้อมก้าวข้ามขีดจำกัดเรื่องเวลา มุ่งมั่นสืบทอดความรู้ที่แม่สร้าง ต่อยอดให้คนรุ่นใหม่มองเห็นคุณค่าของอาชีพเกษตรกรรม เพื่อสร้างรายได้ ปลุกความภาคภูมิใจในรากเหง้าชุมชน โดยมีโครงการ “โรงเรียนผู้นำชุมชนประโยชน์สุข” ของเอสซีจี เข้ามาช่วยพัฒนาเสริมเทคนิคการขาย และจุดประกายการสร้างสรรค์แบรนด์

 

 

  

สืบต่อภูมิปัญญาชาวบ้าน…จากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นถัดไป