แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2569: ปีแห่งการประคองตัวท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอน

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2569: ปีแห่งการประคองตัวท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอน

 

 
 
 

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2569: ปีแห่งการประคองตัวท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอน
 
 
 
 
 
ปี 2569 กำลังจะเป็นอีกหนึ่งปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญแรงปะทะจากรอบด้าน ทั้งแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว การดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ ตลอดจนความเปราะบางเชิงโครงสร้างภายในประเทศและความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2569 เป็นปีของการประคองตัวมากกว่าจะเป็นปีของการเติบโตแบบเร่งตัว โดยวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะเติบโตเพียง 1.8% ชะลอลงจากปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.1% เนื่องจากเครื่องยนต์สำคัญหลายด้านมีแนวโน้มแผ่วลง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยทิศทางของปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญมีดังนี้
 
 
(i) ภาคส่งออก คาดว่าจะเผชิญผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เต็มปี 2569 แม้ภาคส่งออกเคยได้แรงหนุนชั่วคราวในปี 2568 จากการเร่งสั่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าใหม่จะมีผลบังคับใช้ (Front-loading) แต่ในปี 2569 การส่งออกสินค้าของไทยจะได้รับผลกระทบจากทั้งการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สู่อัตรา 19% ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังได้รับผลจากภาษีนำเข้ารายสินค้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่มาตรการภาษีศุลกากรอาจครอบคลุมเพิ่มเติมไปยังสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ขณะเดียวกันองค์การการค้าโลก (WTO) ประเมินว่าปริมาณการค้าโลกปี 2569 จะชะลอตัวลงโดยขยายตัวเพียง 0.5% จาก 2.4% ในปี 2568 ซึ่งสะท้อนอุปสงค์ในตลาดโลกที่อ่อนแอลง ปัจจัยเหล่านี้จึงอาจกดดันการส่งออกไทยในปี 2569 ให้พลิกกลับมาหดตัวที่ -1.8% หลังจากเติบโตสูงเกินคาดในปี 2568
 
 
(ii) ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวแต่ไม่เต็มศักยภาพ ภาคท่องเที่ยวยังคงเป็นความหวังที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2569 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากราว 33.3 ล้านคนในปี 2568 โดยเครื่องชี้ที่สะท้อนการฟื้นตัว ได้แก่ จำนวนเที่ยวบินเข้าสู่ไทยในช่วงฤดูหนาว 2568/2569 (ช่วงวันที่ 26 ตุลาคม 2568 – 28 มีนาคม 2569) ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งมีการขยายเส้นทางการบินใหม่ๆ จากทั้งจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังค่อนข้างช้า โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทย เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยและการแข่งขันที่รุนแรงจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 ยังมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ราว 40 ล้านคนในปี 2562 สะท้อนการฟื้นตัวที่ยังไม่กลับสู่ศักยภาพเดิมและความท้าทายจากโครงสร้างตลาดท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปหลังโควิด
 
 
(iii) การใช้จ่ายภาครัฐอาจชะลอลงตามข้อจำกัดทางการคลังและผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้จะมีแรงพยุงจากการเบิกจ่ายงบเหลื่อมปี แต่ในปี 2569 การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง เนื่องจากพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal space) ค่อนข้างจำกัด สะท้อนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ตั้งวงเงินรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงการเลือกตั้งทั่วประเทศอาจจำกัดความสามารถของรัฐบาลรักษาการในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม บทบาทของการใช้จ่ายภาครัฐจึงอาจลดน้อยลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2569
 
 
(iv) การบริโภคภาคเอกชนเผชิญกำลังซื้ออ่อนแรงและถูกจำกัดด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้าง การบริโภคภาคเอกชนซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยหลังการฟื้นตัวจากโควิด มีแนวโน้มเติบโตในอัตราชะลอลงสู่ระดับ 2.2% ท่ามกลางระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงกว่า 80% ของ GDP ประกอบกับรายได้ของครัวเรือนส่วนใหญ่หลังโควิดยังเติบโตช้ากว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้เกษตรกรยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนการจ้างงานอาจได้รับผลกระทบจากความอ่อนแอของภาคส่งออก นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงที่ผ่านมา อาทิ โครงการแจกเงินหมื่น (หรือโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเดิม) โครงการคนละครึ่งพลัส และโครงการเที่ยวดีมีคืน เป็นมาตรการที่เน้นการกระตุ้นระยะสั้น เมื่อหมดแรงส่งจากมาตรการดังกล่าวครัวเรือนจึงจำเป็นต้องกลับมาพึ่งพารายได้ปกติ ซึ่งยังเติบโตช้าและไม่แข็งแรงพอจะหนุนการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง การบริโภคภาคเอกชนในปี 2569 จึงมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง
 
 
 

 
 
 
 
(v) การลงทุนภาคเอกชนแม้เติบโตช้า แต่ยังรักษาแรงส่งได้ แม้ภาคธุรกิจเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ รวมถึงอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นช้า แต่การลงทุนภาคเอกชนยังมีสัญญาณเชิงบวกอยู่บ้าง อาทิ โครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และเม็ดเงิน FDI ที่ยังไหลเข้าประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน เมื่อประกอบกับการผลักดันผ่านกลไก Thailand FastPass ของ BOI คาดว่าจะช่วยเร่งให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมฯ เดินหน้าลงทุนได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ กระแสการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยมีโอกาสได้รับอานิสงส์จากโครงสร้างพื้นฐานและซัพพลายเชนที่เข้มแข็ง ดังนั้น ในปี 2569 การลงทุนภาคเอกชนจึงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
 
 
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็น 0.4% ในปี 2569 จากที่คาดว่าจะติดลบที่ -0.2% ในปี 2568 โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะเริ่มกลับเข้าสู่แดนบวกได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2569 แต่ยังคงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกจะทรงตัว ขณะเดียวกันรัฐบาลมีแนวโน้มจะคงมาตรการบรรเทาค่าครองชีพด้านพลังงานต่อเนื่อง ซึ่งช่วยจำกัดแรงกดดันด้านราคาโดยตรง ทั้งนี้ ภายใต้ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และสภาพคล่องที่ตึงตัวจากการหดตัวของสินเชื่อ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับลดลงสู่ระดับ 1.00% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
 
 
ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โดยรวมแล้ว เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ถือเป็นปีแห่งการประคองตัวท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก แม้เศรษฐกิจจะได้รับแรงพยุงจากภาคท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างประเทศ และอุปสงค์ในประเทศบางส่วน แต่ยังต้องเผชิญความเสี่ยงและความท้าทายสำคัญหลายด้าน ได้แก่ (i) ความตึงเครียดทางการค้าโลกที่ทวีขึ้น นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอน และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (ii) การไหลทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ตลาดไทย ที่อาจมาพร้อมกับการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ตามกรอบข้อตกลงการค้า อันจะเพิ่มความเสี่ยงภาวะ Twin Influx ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อการผลิตสินค้าไทยหลายกลุ่ม  (iii) ความแปรปรวนของสภาพอากาศที่จะกระทบต่อรายได้เกษตรกร (iv) ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ครัวเรือนสูง และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของบางอุตสาหกรรม และ (v) ความไม่แน่นอนด้านนโยบายและความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แม้ยังเดินหน้าได้ แต่ต้องอาศัยการบริหารจัดการอย่างระมัดระวังเพื่อรองรับกับแรงกดดันจากหลายด้านในปี 2569”