เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 68 ปรับตัวดีต่อเนื่อง

เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 68 ปรับตัวดีต่อเนื่อง

  

 
 

เอสซีจีเผยผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 68ปรับตัวดีต่อเนื่องกระแสเงินสดแกร่งขึ้นหนี้ลด  

ครึ่งปีหลังเร่งเครื่องฝ่าพายุเศรษฐกิจโลกชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” 

“ลดต้นทุน”แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกดัน “สินค้าSmart Value- HVA - Green” รุกตลาดเติบโต 

เคาะเงินปันผลระหว่างกาล 2.50บาท/หุ้น 

 

 

 

 

  

31กรกฎาคม 2568 –กรุงเทพฯ:เอสซีจีเผยผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องครึ่งปีแรก2568 กระแสเงินสด(EBITDA) แกร่งขึ้น อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินสุทธิลดลงจากสิ้นไตรมาส 1/2568ลดลงเกือบหมื่นล้านบาท จากการปรับตัวของทุกธุรกิจปรับพอร์ตลงทุนหยุดธุรกิจไม่ทำกำไรประเมินเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลกครึ่งปีหลัง 2568 ยังท้าทายสูงจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวนเร่งเครื่องธุรกิจ  ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน”“ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกดัน “สินค้าSmart Value - HVA - Green” รุกตลาดเติบโตพร้อมเคาะเงินปันผลระหว่างกาล 2.50บาท/หุ้น ดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง  

 

 

 

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี มุ่งดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินมาต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2567 ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2568กระแสเงินสด(EBITDA) แข็งแกร่งขึ้นอยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งปีหลังของปี 2567 ร้อยละ 21 จากการปรับพอร์ตลงทุนการหยุดธุรกิจไม่ทำกำไรและการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ธุรกิจแพคเกจจิ้ง(เอสซีจีพี)ปรับแผนผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ร่วมกับใช้เทคโนโลยีและ AI เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนได้ดีและธุรกิจเคมิคอลส์(เอสซีจีซี)ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ (Gap) เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่ลดลงนอกจากนี้ เอสซีจียังมีรายได้เงินปันผลรับต่อเนื่อง 

ขณะที่ไตรมาส 2/2568 บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนลดลง7,164ล้านบาทจากไตรมาส 1/2568หนี้สินสุทธิลดลง 8,365 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/2568และมีเงินสดคงเหลือณ สิ้นไตรมาส 2/2568อยู่ที่ 45,542ล้านบาท  

ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568เอสซีจี มีรายได้ 249,077ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไรอยู่ที่3,266 ล้านบาท  

 

 


 
 

 

สำหรับการดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 2568 เช่น ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น เอสซีจีซี บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากสายผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาทปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาทและลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ 6,989 ล้านบาทเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 1,100 ล้านบาทเอสซีจี เดคคอร์เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด เจรจาลดต้นทุนวัตถุดิบ บริหารจัดการสินค้าคงคลังลดต้นทุนได้ 146 ล้านบาทต่อปีและ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิงใช้หุ่นยนต์และพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้105 ล้านบาท ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เช่น PTChandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซียและบางธุรกิจในทวีปยุโรปของเอสซีจีซีรวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซียของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ1,200ล้านบาท  ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ       รวมถึงโซลูชันด้านพลังงานและเอสซีจี เดคคอร์ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่องอาทิปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่นกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท 

 

 


 

 

อย่างไรก็ตาม เอสซีจี มองว่าสถานการณ์ครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังท้าทายอยู่มากจากเศรษฐกิจไทย อาเซียนและโลกที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวนเอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ (Business Competitiveness) เพื่อสู้กับทุกความท้าทายดังกล่าว ได้แก่  

1.) ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” (Regional Optimization)ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี โดยเน้นผลิตและส่งออกจากเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบอยู่ที่ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น เอสซีจีซีเตรียมแผนกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซินปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568 ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้                  กำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวันรองรับตลาดเวียดนามและส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลียทวีปโอเชียเนียเอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และ เอสซีจีพีเดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร  

นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพเช่นทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาด “ปูนเม็ด” (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทลทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด “3D Printing Solution”เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาด “หลังคาและฝาฝ้า” ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลียนิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง การขยายตลาด “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2” ซึ่งได้รับการรับรอง มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทยไปออสเตรเลีย รวมทั้งเตรียมออก “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3” สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ตลอดจนทวีปยุโรป ที่มีการขยายตลาด“กระเบื้องเกรซพอร์ซเลน” ไปสาธารณรัฐเช็ก ของเอสซีจี เดคคอร์ และการปรับกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนของเอสซีจีพี 

 

 



 

 

2.) “ลดต้นทุน”แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก 

  • การใช้หุ่นยนต์และ AIเช่นเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ใช้หุ่นยนต์บรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า และใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ(AS/RS Warehouse System) ช่วยจัดสินค้าไปยังรถขนส่ง รวมทั้งร่วมกับพาร์ทเนอร์พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าขนส่งในเหมือง (EV Mining Truck) แบบไร้คนขับเป็นรายแรกในไทยเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิงใช้ระบบอัตโนมัติผลิตกระเบื้องและครอบหลังคา และแผ่นฝ้าผนังสมาร์ทบอร์ด ทำให้ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ นอกจากนี้ได้เริ่มใช้ AI ช่วยลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่เอสซีจี เดคคอร์ ใช้ระบบอัตโนมัติเคลื่อนย้ายชิ้นงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในกระบวนการผลิตและบรรจุ รวมทั้งใช้ AI ช่วยออกแบบสินค้า จำลองกระบวนการก่อนผลิตจริง ตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงบริหารคลังสินค้าและเอสซีจีซีใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการโรงงาน อาทิโรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรมที่ผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC มีสัดส่วนการใช้หุ่นยนต์(Robot Density)เทียบเท่าระดับ Best in Class ของโลกและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและAI เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนาพอลิเมอร์ 

  • การลดต้นทุนบริหารจัดการจากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน 

3.) ดัน “สินค้า Smart Value - HVA - Green” รุกตลาดเติบโตสูง 

  • เร่งขยาย สินค้าราคาคุ้มค่า(Smart Value Products - SVP)ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันเช่น “ปูน ADAMAX” ในเวียดนาม“ปูน 5 Star” ในกัมพูชา “ปูน Bezt” ในอินโดนีเซีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์“หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve” โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิงและ “กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ SOSUCO”โดย เอสซีจีเดคคอร์  

  • สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA)และโซลูชันเช่น “CHILLOX” โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็นที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ลดการใช้ไฟฟ้า และกักเก็บความเย็นได้นานในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์มาต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจรวมทั้งต่อยอดความเชี่ยวชาญสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ อาทิ“DRS” (Digital Reliability Service Solutions) บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมครบวงจรรายแรกของโลก โดยเอสซีจีซี“ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูงสำหรับท่อร้อยสายไฟใต้ดิน” ที่ใช้เทคโนโลยีคอนกรีตสมรรถนะสูงพิเศษ เพิ่มความแข็งแรงทนทาน ช่วยลดอุบัติเหตุและลดเสียงดังเมื่อรถวิ่งผ่านและ                         “ปูนจับเซี้ยมสำเร็จรูป” สำหรับปั้นก้อนแต่งมุมให้เรียบตรงและได้ฉากรายแรกในไทยโดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์“ONNEX ArcBox”นวัตกรรมป้องกันไฟไหม้ลุกลามแผงโซลาร์ที่ใช้เทคโนโลยีจากอังกฤษและ “ผนังสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ซูเปอร์” ที่พัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นและยืดหยุ่นโดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง “ฟิล์มติดอาคาร Raycoool” ที่ใช้เทคโนโลยี Radiative Cooling ช่วยสะท้อนรังสีความร้อนออกจากอาคาร ทำให้ในอาคารเย็นขึ้นและลดการใช้พลังงาน โดยเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล“สุขภัณฑ์อัตโนมัติ รุ่น Klirr”“วัสดุตกแต่งพื้นผิว Standard Click Lock” ติดตั้งไวกันน้ำ กันปลวก และ “กระเบื้อง X STRONG” กันรอยขีดข่วนและรับน้ำหนักเป็นพิเศษ พร้อมปล่อยประจุบวกเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้โดย เอสซีจี เดคคอร์ 

  • สินค้ากรีน(Green Products)เช่น “ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำWINDSOR” รายแรกในไทย โดย เอสซีจีซี และ “กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้นDECAAR by SCGรุ่นคอมฟอร์ท” ที่มีเทคโนโลยี HeatSyncช่วยสะท้อนความร้อนได้ดีและคายความร้อนได้เร็ว โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง” 

 
 
 


 

นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน เอสซีจีเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็วและความทุ่มเทของทีมงานทุกกลุ่มธุรกิจ จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้อีกทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศทางธุรกิจยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน          เอสซีจีจึงร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ จัดโครงการ ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ และ ‘Go Together’ ต่อเนื่อง รวมทั้งจัดLeadership Forum ในงาน ‘ESG Symposium’ช่วงสิงหาคม - ตุลาคม 2568ซึ่งเชิญองค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (DCO) สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์(MIT)รวมทั้งองค์กรชั้นนำระดับประเทศเช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยมาร่วมหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ธุรกิจ ตลอดจนผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ(Green Transition)และพร้อมแข่งขันระดับโลกท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ได้” 

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568ในอัตรา2.50บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่องโดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2568กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date)ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568  

SCG Announces Continued Improvement in Q2 and H1/2025 Performance with Stronger EBITDA and Reduced Debt; Accelerates Global Resilience Strategy in H2 with Regional Optimization, Cost Reduction to Boost Business Competitiveness, and Expansion in Smart Value, HVA, and Green Products; 

Approves Interim Dividend of 2.50 Baht/Share 

 

July 31, 2025 – Bangkok: SCG has announced continued improvement in itsoperating results for the first half of 2025, with a stronger EBITDA of 30,320 MB. Net debt declined by nearly 10,000 MB, driven by ongoing adjustments across all business units, including investment portfolio restructuring and the discontinuation of unprofitable businesses. Looking ahead, SCG anticipates that the economic landscape in Thailand, ASEAN, and globally will remain highly challenging in the second half of 2025 due to factors such as U.S. tariffs, geopolitical conflicts, and volatile energy prices. The company is accelerating its business operations through regional optimization across its production bases in ASEAN, cost reduction to boost business competitiveness, and expanding Smart Value, HVA, and Green Products to tap into growth markets. Additionally, an interim dividend of 2.50Baht per share has been approved, demonstrating the company’s continued commitment to its shareholders. 

 

 



 

 

ThammasakSethaudom, President and CEO of SCG, said, "SCG has consistently implemented measures to strengthen its financial position since mid-2024. This has resulted in a stronger EBITDA for the first half of 2025, which stands at 30,320 MB, an increase of 21% from the second half of 2024. This improvement is attributed to investment portfolio adjustments, the discontinuation of unprofitable businesses, and management initiatives to enhance operational efficiency across all units. Specifically, the Cement and Building Materials business has managed costs effectively; the Packaging business (SCGP) has successfully optimized production planning, effective cost management of recovered paper, and the use of technology and AI to enhance cost efficiency; while the Chemicals business (SCGC) has shown a gradual recovery. The chemical product price spread (Gap) has begun to improve slightly due to declining crude oil costs. In addition, SCG continues to receive recurring dividend income. 

In Q2/2025, working capital was efficiently managed, decreasing by 7,164 MB compared to Q1/2025. Net debt declined by 8,365 MB from the end of Q1/2025. Cash on hand at the end of Q2/2025 stood at 45,542 MB. 

For its H1/2025 operating results, SCG reported revenue of 249,077 MB and a net profit of 18,436 MB. Excluding extra items related to business restructuring, the profit amounted to 3,266 MB. 

 

Key operational highlights for the first half of 2025 include: 

  • Reducing costs to compete with global manufacturers. For example, SCGCoptimized raw material costs and enhanced the value of by-products, resulting in cost savings and value creation of 912 MB. The company also improved plant operations to maximize efficiency, achieving additional cost savings of 616 MB, and reduced working capital by 6,989 MB. SCG Cement and Green Solutionsutilizedeco-friendly and alternative energy sources in production processes, lowering costs by 1,100 MB. SCG Decorincreased usage of clean energy, negotiated for lower raw material costs, and efficiently managed inventory — resulting in total cost savings of over 146MBper year. SCG Smart Living implements robotics and clean energy in production process, saving105 MB in costs. 

  • Operational and business restructuring efforts. For example, PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) in Indonesia and some SCGC operations in Europe, and some businesses under SCG Smart Living in Indonesia helped reduce costs and expenses by over 15,170 MB in Q2/2025. 

  • Expansion of the product portfolio to meet demand across all market segments. For example, SCGC developed High Value Added Products (HVA) to serve key sectors, including infrastructure, consumer packaging, automotive, medical and healthcare, and energy solutions. SCG Decorhas expanded its product portfolio from decorative surface and bathroom to import of complementary products such astire adhesive and grout, doors and windows, and kitchen worktops. It is also tapping into high-value segments with HVA products such as glazed porcelain tile and smart sanitary ware. 

 

However, SCG views the outlook for the second half of 2025 as highly challenging, with the economies of Thailand, ASEAN, and the world affected by U.S. tariffs, geopolitical conflicts, and volatile energy prices. Therefore, SCG is accelerating efforts to enhance its business competitiveness to address these challenges, which include: 

1.) Leveraging Diverse Production Bases in “ASEAN” (Regional Optimization). This is a key strength and competitive advantage for SCG. The strategy focuses on manufacturing in and exportingfrom Vietnam to capitalize on a favorable U.S. import tariff rate of 20% and competitive costs. This is combined with Vietnam being a domestic consumption base with high growth potential. For instance, SCGC plans to resume operations at the Long Son Petrochemicals (LSP) plant in Vietnam in late August 2025. Meanwhile, the project to enhance LSP's competitiveness using ethane feedstock is progressing as planned, with completion expected in 2027. SCG Cement and Green Solutions is expanding its Low Carbon Cement production base in South Vietnam. With a maximum capacity of 8,000 tons per day, the facility will serve the domestic Vietnamese market and support exports to the United States, Canada, Australia and Oceania. SCG Decor increased production capacity of glazed porcelain tile in Vietnam to serve the growing market demand and reduced production cost to match those of world-class player. SCGP continues to strengthen its integrated packaging business in Vietnam, which covers the entire value chain from packaging paper production to paper packaging, polymer packaging, and foodservice packaging. 

 

 


 
 

 

Furthermore, SCG is actively seeking opportunities in other high-potential markets. Examples include:In Africa, SCG Distribution and Retail expanded its “cement clinker” market. InAsia, the “3D Printing Solution” market has expanded rapidly, with a strategic shift to selling 3D Printing Mortar, enabling market entry into Japan, Saudi Arabia, and Malaysia for faster and waste-free building. In Oceania, SCG Smart Living has expanded “roofing and ceiling”products to Australia and New Zealand markets by selecting products tailored to meet the specific needs and usage requirements of each market. SCG Cement and Green Solutions also expanded the market for SCG “Low Carbon Cement Gen 1 and Gen 2”, which have been certified under the new Thai Industrial Standard 2594-2567 and awarded an Environmental Product Declaration (EPD) in North America, becoming the first Thai brand to achieve this. It is preparing to launch “SCG Low Carbon Cement Gen 3” as the first in the market and is currently conducting pilot projects with more than 15 sites. In Europe, SCG Decor has expanded the market for “glazed porcelain tiles” to Czech Republic, and SCGP has optimized“foodservice packaging production” for cost competitiveness. 

 

2.) “Reducing costs” to Compete with Global Manufacturers 

  • The use of robotics and AI: Forinstance, SCG Cement and Green Solutions employ robotic systemsto automate the packing of cement bags and their dispatch to the warehouse. Additionally, the company utilizes an Automated Storage and Retrieval System (AS/RS) to efficiently organize products for loading onto transport vehicles. In collaboration with strategic partners, SCG is also pioneering the developmentof Thailand’s first autonomous electric mining truck.SCG Smart Living has implemented automation systems in the production of roof tiles, ridge caps, and SmartBOARD wall and ceiling panels, resulting in standardized product quality, reduced production waste, and lower management costs. Furthermore, the company has commenced the adoption of AI technologies to enhance efficiency in the design and development of new products. SCG Decor engages automated systems to movetiles and sanitary ware during production process including applies AI to assist in product design, simulate processes before actual production, perform quality inspections, and manage its warehouse. SCGC uses robotics to manage its plant, such as at Nawaplastic Industries which produces PVC pipes, fittings, and finished PVC products, at a robot density ratio comparable to the global best-in-class level. And it also utilizes digital technology and AI to shorten polymer development and further enhance production efficiency.  

  • Reducing administrative costsby centralizing production from redundant plant operations. 

 

3.) Expanding "Smart Value - HVA - Green Products" to Penetrate High-Growth Markets 

  • Smart Value Products (SVP) that meet consumer needs in the current economic climate. Examples include: "ADAMAX Cement" in Vietnam, "5 Star Cement" in Cambodia, and "Bezt Cement" in Indonesia by SCG Cement and Green Solutions. “SCG Ceramic Roof Tile - Celica Curve” by SCG Smart Living, and "SOSUCO tile and bathroom” by SCG Decor. 

  • High Value Added Products (HVA) and service solutions. Examples include: "CHILLOX," an energy-saving solution for cold storage warehouses that maintains stable temperatures, reduces electricity consumption, and retains coldness during emergencies. This solution uses by-products from the polyolefins plant to create new business opportunities; and “DRS” (Digital Reliability Service Solutions), the world's first fully integrated digital service solutions for industrial sectors, by SCGC; "High-strength concrete manhole covers for underground electrical conduit systems," utilizing ultra-high performance concrete technology to enhance durability and reduce accidents and noise caused by passing vehicles; and the first-in-Thailand "ready-mixed mortar specifically designed for corners," enabling the construction of smooth, straight, and precisely angled edges by SCG Cement and Green Solutions; “ONNEX ArcBox”, an innovative fire-prevention device for solar panel systems utilizing advanced technology from the UKand "SCG SmartBOARDZuper - wall panels”, which have been enhanced for greater strength and flexibility by SCG Smart Living; "RAYCOOOL" is an exterior building film, which uses Radiative Cooling technology to reflect heat radiation away from the building, making interiors cooler and reducing energy consumption more effectively compared to conventional films, by SCG Distribution and Retail; "Klirr" model automatic sanitary ware; "Standard Click Lock" surface material for fast installation, waterproof, and termite-proof; and "X STRONG" tiles, which are extra scratch-resistant and load-bearing, and release positive ions to eliminate bacteria, by SCG Decor. 

  • Green Products.Examples include the first-in-Thailand "WINDSOR" low-carbon vinyl doors and windows by SCGC, and “DECAAR by SCG - COMFORT” concrete paving tiles, featuring exclusive HeatSync technology for superior heat reflection and rapid heat release by SCG Smart Living. 

  •  

 



 

 

Thammasak concluded, "Although the trade war situation remains uncertain, SCG is confident that our clear strategy, rapid and agile adaptation, and the dedication of our teams across all business units will enable us to maintain the organization's financial strength and competitiveness. Furthermore, collaboration with partners across the entire business ecosystem remains at the heart of sustainable growth. Therefore, SCG continues to collaborate with various sectors on projects such as the ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ and ‘Go Together,’ organizing the Leadership Forum under the ‘ESG Symposium,’ to be held between August and October 2025.  This forum will bring together world-class organizations such as the United Nations Development Coordination Office (DCO) and the Massachusetts Institute of Technology (MIT), along with leading Thai institutions such as the Bank of Thailand, the Thailand Development Research Institute (TDRI), and the Federation of Thai SME to jointly develop approaches to enhance business competitiveness and to drive the restructuring of the Thai economy toward a low-carbon society (Green Transition), ensuring Thailand’s readiness to compete globally amid challenges.” 

 

In addition, the Board of Directors has approved the H1/2025 interim dividend payment of 2.50 Baht per share, totaling 3,000 MB, to continuously care for shareholders. The dividend is payable on August 28, 2025, with the XD-date on August 13, 2025, and the record date on August 14, 2025.