ศรีสุวรรณบุก สน.ทุ่งสองห้องแจ้งความเอาผิดมือชกเพิ่มอีกคดีฐานดูหมิ่น

ศรีสุวรรณบุก สน.ทุ่งสองห้องแจ้งความเอาผิดมือชกเพิ่มอีกคดีฐานดูหมิ่น

 

 

 

ศรีสุวรรณบุก สน.ทุ่งสองห้องแจ้งความเอาผิดมือชกเพิ่มอีกคดีฐานดูหมิ่น หลังแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายและจิตใจเมื่อ 11 พ.ค.ที่ผ่านมาพร้อมมอบพยานหลักฐานมัดตัวมือชกและเพิ่มข้อหาอีกกระทงฐานดูหมิ่น
 
 
 
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่าเมื่อเย็นวันที่ 15 พ.ค.66ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เพื่อพบพนักงานสอบสวนเพื่อมอบหลักฐานประกอบคดีเพิ่มเติมให้กับ สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ หลังจากที่ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายต่อชายสูงอายุอดีตอาจารย์ ม.เอกชน ที่เข้ามาทำร้ายร่างกายที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมาหลังจาก กกต.เชิญไปให้ถ้อยคำกรณีร้องเรียนให้ตรวจสอบนโยบายหาเสียงแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย
 
ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณได้ยืนยันต่อพนักงานสอบสวน พร้อมมอบพยานหลักฐานเป็นใบรับรองแพทย์และคลิบวิดีโอที่ผู้ถูกกล่าวหาได้เจตนาพูดดูหมิ่นเหยียดหยามตนต่อบุคคลที่สามหรือธารกำนัล (ผู้สื่อข่าว,ประชาชน) โดยประการที่ทำให้ตนนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และได้รับความอับอาย หลังจากที่ทำร้ายตนแล้ว ทั้ง ๆ ที่บริเวณดังกล่าวเป็นสาธารณสถาน อันเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.393 และ ม.397 วรรคสอง ประกอบ ม.59 ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
อย่างไรก็ตาม แม้โทษทางอาญาจะมองดูไม่มากนัก แต่ทว่าเมื่อศาลมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาในคดีอาญาแล้ว จะส่งผลต่อคดีในทางแพ่งที่ตนได้เรียกค่าเสียหายไปพร้อมด้วยเลยในคดีเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท เนื่องจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา เป็นการละเมิดกฎหมายในที่รโหฐาน เป็นสาธารณสถาน ไม่เกรงกลัวกฎหมายทั้งๆที่เคยเป็นถึงครูบาอาจารย์สอนคนมาก่อน
 
รวมทั้ง การกระทำดังกล่าวอาจมีผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นฝ่ายการเมืองที่ผู้ต้องหาได้ไปคลุกคลีร่วมกิจกรรมทางการเมือง และอาจนำมาซึ่งเจตนาพิเศษต่อการทำร้ายร่างกายตนได้ที่ไปร้องเรียนพรรคการเมืองที่บุคคลดังกล่าวมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ซึ่งตนเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันของสังคมไทย และทำงานเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี การที่ผู้ต้องหาคนดังกล่าวมาทำร้ายร่างกาย และดูหมิ่นเหยียดหยาม เป็นที่น่าอับอาจ จึงน่าจะเป็นเหตุผลทางคดีที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ศาลมีคำพิพากษาทั้งทางอาญาและทางแพ่งตามคำขอท้ายคำฟ้องที่ตำรวจและอัยการจะดำเนินการยื่นฟ้องต่อไปได้ นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด