เจ้าของโครงการ แอด เดอะ ทรี คอนโดมิเนียม ภูเก็ต 100 ล้าน อานันท์อร-โชตน์ณัฐ เรืองธิติภาคย์ เปิดตัวโครงการ ถือหุ้น ๙ บาท เป็นเจ้าของโรงแรม ๑ เดียวในโลก

เจ้าของโครงการ แอด เดอะ ทรี คอนโดมิเนียม ภูเก็ต 100 ล้าน อานันท์อร-โชตน์ณัฐ เรืองธิติภาคย์ เปิดตัวโครงการ ถือหุ้น ๙ บาท เป็นเจ้าของโรงแรม ๑ เดียวในโลก

 

 

 

 

เจ้าของโครงการ แอด เดอะ ทรี คอนโดมิเนียม ภูเก็ต 100 ล้าน
อานันท์อร-โชตน์ณัฐ เรืองธิติภาคย์
เปิดตัวโครงการ ถือหุ้น ๙ บาท เป็นเจ้าของโรงแรม ๑ เดียวในโลก

 


สองสามีภรรยาเจ้าของโครงการ แอด เดอะ ทรี คอนโดมิเนียม (@ The Tree Condominium) แห่งบ้านไทยร่มเกล้า ภูเก็ต อานันท์อร-โชตน์ณัฐ เรืองธิติภาคย์ เปิดตัวโครงการ ถือหุ้น ๙ บาทเป็นเจ้าของโรงแรม ๑ เดียวในโลก โรงแรมเพื่อสังคมที่ยั่งยืนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง


ความสำเร็จที่ได้มาแม้ว่าจะไม่ได้ง่ายเหมือนใครๆ แต่สองสามีภรรยา อานันท์อร-โชตน์ณัฐ เรืองธิติภาคย์ เจ้าของโครงการ แอด เดอะ ทรี คอนโดมิเนียม (@ The Tree Condominium) แห่งบ้านไทยร่มเกล้า ภูเก็ต ได้นำเสนอโครงการสร้างโรงแรมจากพลังความสามัคคีของทุกคนที่มีแนวคิด แนวทางที่จะคืนประโยชน์ให้กับสังคมโดยเฉพาะส่งเสริมทุนการศึกษาเด็กที่ขาดแคลน ขาดโอกาส และเดินตามพ่อ...โดยนำเสนอขายหุ้นลงทุนกับโครงการ หุ้นละ ๙ บาท

 

//โรงแรม ๙ บาท เดินตามรอยพ่อ
ภายหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี ๒๕๔๐ ส่งผลกระทบธุรกิจก่อสร้างและธุรกิจนากุ้งที่คาดว่าจะสร้างรายได้ไม่น้อยในตอนนั้น สุดท้ายต้องผิดหวังจนเป็นหนี้หมดตัว จากนั้น ลักษณ์-อานันท์อร และ ช้าง-โชตน์ณัฐ เรืองธิติภาคย์ สองสามีภรรยา เจ้าของบริษัท ใบบุญ พร็อพเพอร์ตี้ จึงมุ่งหน้าสู่ภูเก็ต จากชีวิตที่เคยติดลบถึงขนาดเก็บขวดน้ำขาย จวบจนวันนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มูลค่านับร้อยล้านบนหาดราไวย์ กระทั่งได้เกิดไอเดียในการโรงแรม ๙ บาท ขึ้นมาเพื่อสังคมและชุมชนให้ได้เข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกันปราศจากกลุ่มนายทุน


คุณช้าง-โชตน์ณัฐ เปิดเผยว่า “โรงแรม ๙ บาท ที่กำลังเตรียมสร้างครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างงาน อาชีพ และรายได้ คืนสู่สังคมและผู้เป็นเจ้าของร่วมโรงแรมที่มาจากคนร่วมสร้างอุดมการณ์เดียวกัน จึงเกิดเป็นการร่วมหุ้นกันในราคาหุ้นละ ๙ บาท ตามรอยพระองค์ท่าน คือ “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี ที่เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี สติ ปัญญา และความเพียร ซึ่งจะนำไปสู่ความสุขในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง


“ดังนั้น โครงการโรงแรม ๙ บาท เปรียบเสมือนบ่อน้ำหล่อเลี้ยงรากแก้ว เพื่อหารายได้ส่งเสริมสนับสนุน ตอบแทนคุณแผ่นดิน เพราะต่อไปเราจะมาสร้างความสามัคคีร่วมกันในการดำเนินบริหารธุรกิจร่วมกัน เพื่อต่อยอดให้กับทุกคนที่ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่งเท่านั้น และผมอยากให้ทุกคนคิดในแนวทางเดียวกันที่จะเดินไปพร้อมๆ กัน ตรงนี้ผมอยากจะตอบโจทย์ประเด็นสำคัญก็คือ ทรัพย์สินเงินทอง คำตอบสุดท้ายเมื่อเราหมดลมหายใจไปก็ไม่มีใครเอาอะไรไปได้ แต่ตรงนี้ผมว่าโครงการนี้จะยังคงทิ้งไว้เพื่อประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ เป็นต้นแบบให้คนไทยทุกคนนำไปต่อยอดแบบเราได้”


//โรงแรม ๙ บาท ต้นแบบเพื่อสังคม
“โดยทุกการจองห้องพัก จะหัก ๑๐เปอร์เซ็นต์ให้กับการกุศล (จะแจ้งรายละเอียด มูลนิธิและการกุศลที่ร่วมอย่างเป็นทางการภายหลัง) และรายได้นอกจากแบ่งปันให้ผู้ถือหุ้นแล้ว ส่วนหนึ่งจะคืนสู่สังคมตามความเหมาะสม โดยโรงแรมนี้จะสร้างขึ้นบนพื้นที่ทำเลดี ใกล้หาดราไวย์เพียง ๓๐๐เมตร ๑.๒ กิโลเมตรจาก หาดในหาน (หาดที่สวยติดอันดับท้อป ๑๐ของประเทศไทย) และ ๒ กิโลเมตรจากแหลมพรมเทพ จ . ภูเก็ต บนทำเลทองของไข่มุกอันดามัน


โรงแรมเปิดบริการให้ชาวโลกพัก ในราคาพอเพียง ที่มีนิทรรศการ และเป็นศูนย์การเรียนรู้ พระราชกรณียกิจ ของ ร.๙ รวมทั้ง มีเลข ๙ อยู่สูงสุดบนชั้นดาดฟ้า มองเห็น ทุกมุม ขนาดโรงแรม บนพื้นที่ ๗.๕ ไร่ ความสูง ๕ ชั้น จำนวนห้อง ๑๘๐ ห้อง งบประมาณการสร้าง ๒๗๐ ล้านบาท ใช้เวลาในการสร้างและตกแต่งพร้อมเปิดบริการ ประมาณไม่เกิน ๒ ปี

 

///เปิดขายหุ้น ๆ ละ ๙ บาท
ธุรกิจโรงแรม ๙ บาท จะเปิดขายหุ้น ๆ ละ ๙ บาท จากเจตนารมณ์ของเจ้าของที่ดิน และ ผู้คิดค้นโครงการ ได้ตระหนักถึงการทำธุรกิจเพื่อแผ่นดิน สร้างโรงแรมด้วยความพอเพียง โดยเปิดโอกาสให้คนทุกเพศทุกวัยในทุกสาขาอาชีพมาร่วมเป็นเจ้าของร่วมโรงแรม ๙ ภูเก็ต โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมซื้อหุ้น ๆ ละ ๙ บาท จำนวน ๓๐ ล้านหุ้น ใครจะถือหุ้นเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องมีเงื่อนไขและแนวร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ซึ่งจะเป็นโรงแรมที่มีเจ้าของร่วมมากที่สุดในโลก หนึ่งเดียวในประเทศไทยและในโลกใบนี้


“ตรงนี้คนที่จะถือหุ้นได้ต้องเป็นคนไทยที่ถือบัตรประชาชนว่าเป็นคนไทยที่เป็นเจ้าของประเทศชาติ ขอให้มีหัวใจเดียวกัน ไม่สำคัญว่าคุณเป็นใคร ฐานะไม่เกี่ยวกับการที่จะเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมร่วมกัน เพื่อมีและแบ่งปันให้กับสังคม เช่น พ่อค้า แม่ค้า วินมอเตอร์ไซต์ พนักงานบริษัท ข้าราชการ ที่สำคัญ ต้องเป็นคนดี มีศีลธรรม คุณธรรมนำชีวิต ด้วยกาย วาจา ใจ เพื่อต้องการตอบแทนคุณแผ่นดิน กตัญญูรู้คุณ และเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยแรงกายและใจ


“ผมยอมรับว่าที่ผ่านมาโครงการ แอด เดอะ ทรี คอนโดมิเนียม กว่าจะสำเร็จลงได้ก็ผ่านอุปสรรคมามากมาย เรียกว่า ลำบากพอสมควร แต่ความลำบากที่ว่า เราจะทำอย่างไรให้โครงการนี้ต่อยอดให้กับสังคมได้ก็เป็นความลำบากอีกเช่นกัน เพราะเป็นการนำเสนอการก่อสร้างอิฐหินปูนทรายไม่ลำบาก อยากจะได้เหล็กก็ซื้อเหล็ก อยากจะได้ปูนก็ซื้อปูน แต่สิ่งที่มันยากก็คือ ทำอย่างไรให้ต่อยอดกับคนอื่นว่า เราทำตรงนี้เพื่ออะไร ผมว่าตรงนี้ยากกว่า แต่ถ้าทุกคนเข้าใจกับแนวคิดตรงนี้ ผมว่าจะง่ายแล้ว มันง่ายคือ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราคนเดียว เพราะสังคมต้องอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะเราจะอยู่คนเดียวไม่ได้ และเราจะกินคนเดียวก็ไม่ได้ ตัวอย่างคนร่ำรวยได้ก็มาจากการสนับสนุนจากพวกเราขึ้นมานั่นเอง


“เราจึงมาร่วมกันสร้างงานชิ้นนี้ให้รู้ว่าเงิน ๙ บาท ที่รวมกันก็จะไม่ใช่ ๙ บาทแล้ว ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้า ๑ ล้านคน ก็จะเป็นเงิน ๙ ล้านบาท ยิ่งถ้าคนไทยมีประชาชน ๗๐ ล้านคนแล้วนำ ๙ บาทคูณเข้าไป ซึ่งจะเป็นโครงการที่ทำให้กับคนไทยทั้งประเทศที่จะเป็นเป้าหมายหลัก ที่ไม่ใช่เราทำเพื่อเราสองสามคนเท่านั้น แต่เราจะเดินไปพร้อมๆกันอย่างภาคภูมิใจร่วมกัน


“เพียงคนละ ๙ บาท ก็จะได้เป็นเจ้าของโรงแรมร่วมกัน อย่างพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า ในการทำบุญ ๑ บาท ๑ สลึงในการทำบุญ มีค่าเท่ากับคนทำบุญ ๑๐ ล้าน ๑๐๐ ล้าน ตรงนี้คือใจ หรือที่เราเรียกว่า เจตนา ต่อให้เจตนาเราดีมีเงินแค่อัฐแค่เฟื้องก็เหมือนกับเราเทใจให้กัน เหมือนบรรพบุรุษของเราไม่ได้ใช้เงินกอบกู้แผ่นดิน แต่ใช้ใจและพลังศรัทธา พอเรามาอยู่ในยุคนี้ เราสมมุติเม็ดเงินขึ้นมา แต่พลังสามัคคีก็สำคัญ ถ้าคุณมีเงินหมื่นล้านพันล้าน แต่ถ้าคุณไม่มีอะไรให้ใครก็จะไม่มีประโยชน์ เหมือนเงินคุณถูกฝังไว้ใต้ดิน เป็นแบบหินปูนธรรมดา แต่ถ้าเรางัดใจขึ้นมาผมเชื่อมั่นจะพบกับความสำเร็จได้ เพราะความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินอย่างเดียว แต่เม็ดเงินจะเป็นปัจจัยที่จะนำมาก่อสร้างโครงการนี้ขึ้นมาให้เป็นรูปแบบชัดเจน แต่พลังสามัคคีที่มีแนวคิดเดียวกันผมว่าสำคัญที่สุด”


/// ปาฏิหาริย์ย่ามุก-ย่าจัน
ทั้งคู่ย้อนอดีตสมัยทำธุรกิจนากุ้ง ๑๕ ไร่ ที่สงขลา ควบคู่กับการทำธุรกิจก่อสร้าง กระทั่งเข้าสู่ช่วงเงินบาทลอยตัวทำให้ขาดทุนย่อยยับ แทบสิ้นเนื้อประดาตัว จากนั้นจึงหันมาทำโครงการสร้างทาวน์เฮาส์ที่เกาะยอเริ่มต้นที่ ๕ ห้อง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหาทุนเพิ่มมาได้ เพราะกู้ธนาคารไม่ผ่าน ทำให้โครงการต้องหยุดกลางคัน ทว่าทั้งคู่ก็ไม่เคยย่อท้อ และตั้งใจจะไปปักหลักขายข้าวแกงที่แม่สาย จ.เชียงราย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ


“เชื่อไหมว่าเดินทางไปเกือบทั่วประเทศ แต่ไม่เคยนึกถึงจังหวัดภูเก็ตเลย จนไปเกาะสมุยแล้วต้องนอนรอเรือสองชั่วโมง ต่างคนต่างถามกันว่าใช่ตัวเราหรือเปล่าที่ชีวิตจะต้องมารอข้ามเรือ ก็คิดกันว่าเราจะไปตายเอาดาบหน้าที่ภูเก็ตดีไหม” ระหว่างขับรถมาถึงอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทร หรือย่ามุก-ย่าจัน จึงได้ลงมาขอพรจากย่าทั้งสองขออาศัยแผ่นดินภูเก็ตเพื่อทำมาค้าขาย และถ้าชีวิตประสบความสำเร็จก็จะขอตอบแทนบุญคุณแผ่นดินภูเก็ต “มาถึงภูเก็ตตอนบ่ายโมงก็ลงไปไหว้ย่ามุกย่าจันแล้วบอกกับท่านว่า ย่าลูกหมดเนื้อหมดตัวแล้วขอพึ่งบารมีท่านด้วย แต่ลูกเป็นคนดีนะย่า ถ้ามองเห็นว่าลูกคิดดีทำดีขอให้ส่งเสริมลูกด้วย ลูกให้สัญญาว่าถ้าวันไหนลูกมั่นคงลูกจะขอตอบแทนแผ่นดินของภูเก็ต”


จากนั้นสามีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากก็มุ่งหน้าไปที่ป่าตอง แต่ก็อยู่ไม่ได้เพราะค่าเช่าบ้านแพงมาก จนต้องเดินทางมาเช่าบ้านที่หมู่บ้านธารทองในอำเภอเมือง โดยยึดอาชีพขายผลไม้ และเก็บขวดน้ำขาย สุดท้ายทำได้เพียง ๓ เดือนก็ทนแบกรับกับค่าเช่าบ้านไม่ไหว “วันนั้นตรงกับวันที่ ๑๒ สิงหาฯ เป็นวันแม่ด้วยเลยทำบุญให้กับแม่ก็ได้ขอพรบอกกับแม่ว่าวันนี้แม่ต้องช่วยให้ลูกหาที่ทำกินใหม่ให้ได้ เพราะถ้าแม่ไม่ช่วยที่ดิน ๔๐ ไร่ที่สงขลาแบงก์ยึดแน่ๆ พอเสร็จก็เลยตระเวนหาบ้านเช่าใหม่โดยมุ่งหน้าที่หาดราไวย์ ซึ่งไม่เคยมาก่อนเลย แล้วได้มาเจอบ้านหลังที่อยู่นี้ เลยติดต่อขอเช่าจากเจ้าของบ้าน ด้วยความเป็นคนเปิดเผย เลยได้เล่าความลำบาก และความล้มเหลวที่เกิดขึ้นให้เจ้าของบ้านฟัง เขาก็สงสารและเมตตาเรา ให้เช่าบ้านในราคาที่ถูก บางเดือนไม่มีค่าเช่าก็ขอผ่อนค่าเช่าเป็นรายวัน” คุณลักษณ์ย้อนความยากลำบากในอดีตที่ยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ


และในปี ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของนักธุรกิจร้อยล้าน จากร้านขายข้าวแกงที่ขอแค่ให้ได้กินข้าวสามมื้อในช่วงแรก หลังจากนั้นพอจะเก็บเงินได้บ้างก็มีการตกแต่งเพิ่มและตั้งชื่อร้านว่า ใบบุญ “ด้วยความมีมนุษย์สัมพันธ์ดีพอทำกับข้าวให้ลูกค้าเสร็จก็วิ่งออกมาต้อนรับลูกค้า ทักทายตามประสา แล้วก็บอกกับลูกค้าฉันทำอาหารไม่เก่งแต่สามีทำงานได้หลายอย่าง ทำก่อสร้างได้ พอฝรั่งฟังเสร็จก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นถ้าบ้านฉันมีปัญหาทำให้ฉันได้ไหม เราสองคนก็บอกว่าทำได้ไว้ก่อน”


จากนั้นก็มีงานด้านการก่อสร้าง ตกแต่งบ้านเรื่อยมาจนได้มาเปิดบริษัท ใบบุญ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด “ตอนนั้นเราถอดหัวโขนหมดเลย ทำเองทุกอย่าง ไม่ได้คิดว่าทำแล้วจะได้เท่าไหร่ แต่ทำแล้วเรามีความรับผิดชอบแค่ไหน เป็นการทำที่ไว้ใจซึ่งกันและกัน แก้ปัญหาเรื่องหลังคารั่วจนบ้านใครหลังคารั่วเป็นต้องนึกถึงผม” คุณช้างเล่าพลางหัวเราะในอดีตที่พลิกผันจากที่เคยเป็นเถ้าแก่แต่กลับต้องมาเป็นกรรมกรเสียเอง


“เราสองคนโชคดีมากที่อย่างน้อยชีวิตเราที่ตั้งมั่น ที่จะคิดดี ทำดี จนทำให้เราได้พบกับเจ้าของบ้านหลังนี้ เราเรียกท่านว่า มะดวน (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) ตอนนั้นที่ดินที่สงขลาใกล้จะถูกยึด ท่านก็อยากจะช่วยเรา โดยให้เอาที่ดิน ๗ ไร่ครึ่ง ของท่านไปขายเพื่อจะได้ค่านายหน้า ๓% จะได้นำเงินก้อนนี้ไปใช่หนี้ธนาคาร เชื่อไหมว่า ขายอยู่เป็นปีก็ไม่มีใครซื้อ ทุกคนก็บอกว่า ราไวย์ไม่มีใครมาอยู่หรอกเพราะมันเงียบ พอขายไม่ได้ก็เอาโฉนดไปคืนมะดวน แต่ทางมะดวนไม่ยอมเอาโฉนดคืน แต่กลับบอกว่า ให้เราสองคนเก็บที่ดินผืนนี้ไว้ ทำธุรกิจต่อยอดในอนาคต มีเงินเมื่อไรก็ค่อยทยอยให้ มูลค่าตอนนั้นประมาณ ๑๘ ล้าน ก็ได้แต่ขอบคุณมะมากๆ แล้วก็ได้สัญญากับท่านว่าจะไม่ขายที่ดินแปลงนี้เด็ดขาด แต่จะใช้สร้างงาน ให้เกิดประโยชน์กับสังคม”


ปัจจุบันสองสามีภรรยาเป็นเจ้าของที่ดิน ๑๐ ไร่ ในเมืองภูเก็ตมูลค่ากว่า ๑๒๐ ล้าน ด้วยเหตุนี้จึงได้เกิดเป็นโครงการคอนโดบนหาดราไวย์ โดยใช้ชื่อโครงการว่า แอท เดอะ ทรี คอนโดมิเนียม (@ The Tree Condominium) ด้วยความตั้งใจที่อยากจะสร้างโอกาสให้กับคนที่มีโอกาสน้อย ได้มีธุรกิจเป็นของตนเอง หรือมีส่วนร่วมกับธุรกิจร่วมกันเป็นเจ้าของโครงการคอนโดระดับร้อยล้านในจังหวัดภูเก็ต แม้จะมีทุนน้อยนิด หลักร้อย หลักพัน ก็สามารถร่วมหุ้นกับโครงการได้ โดยผลตอบแทนนั้นสามารถต่อยอดเป็นทุนสำหรับลูกหลานต่อไปได้


“เรามั่นใจว่าความตั้งใจในการช่วยเหลือให้กับสังคม ถ้าเราทำสำเร็จ ไม่ใช่ตัวเราสำเร็จกันลำพัง แต่ผลสำเร็จที่ได้รับสังคมรอบข้างล้วนได้รับทั้งสิ้น เราทำไม่ได้สร้างภาพ เราไม่มีทายาทที่จะมาสานต่อธุรกิจเลย แต่เป็นการทำที่ออกมาจากใจที่ต้องการทดแทนแผ่นดินจริงๆ”


บทสรุปชีวิตของสามีภรรยา อานันท์อร-โชตน์ณัฐ เรืองธิติภาคย์ เชื่อว่า อาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคน เพราะถ้าเรามีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ที่สำคัญรู้จักกตัญญู คิดดี ทำดี รู้คุณแผ่นดิน ในทางธรรมะถ้าเรามีสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ทำอะไรทุกอย่างย่อมสำเร็จแน่นอน

 

สอบถามรายละเอียดได้ที่เจ้าของโครงการ...คุณอานันท์อร-โชตน์ณัฐ เริองธิติภาคย์
58/29หมู่ 6ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต
โทรศัพท์ .076-613166
คุณโชตน์ณัฐ 081-9799439
คุณวาสนา 099-1632896

อีเมล...
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
www.atthetreephuket.com