ดร.ธนิต โสรัตน์ นักธุรกิจพันล้าน “ความรวยอยู่ที่ความพอ”

ดร.ธนิต โสรัตน์ นักธุรกิจพันล้าน “ความรวยอยู่ที่ความพอ”

 

 



เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง • ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์ 


บ้านสไตล์ยุโรป...หรู-เรียบง่าย
ดร.ธนิต โสรัตน์ นักธุรกิจพันล้าน
“ความรวยอยู่ที่ความพอ”


 
โชว์ฝีมือออกแบบบ้านด้วยตัวเอง ตกแต่งจัดวางตามหลักฮวงจุ้ย เน้นให้สมาชิกทุกคนในบ้านมีมุมส่วนตัว เพราะความสำคัญของครอบครัวอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พร้อมหลักคิดในการดำเนินชีวิตให้อยู่อย่างยั่งยืน 


 
วันนี้ นิตยสาร เชนจ์ อินทู จะพาไปรู้จักนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท V-SERVE GROUP ในฐานะรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยอมเปิดบ้านเป็นครั้งแรก พร้อมแนะแนวคิดดีๆ ในการบริหารงานและครอบครัว โดยมีภรรยา (อุบลพรรณ) ออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง
 

//ออกแบบกับมือ


ขณะเดินทางมาถึงหน้าบ้านก็พบกับข้อความพุทธศาสนสุภาษิต ปญฺญา ธนํ โหติ (ปันยา ทะนัง โห-ติ) ที่แปลว่า ความรอบรู้เป็นทรัพย์อันประเสริฐ ติดอยู่ประตูทางเข้า “สุภาษิตที่ว่านี้ผมยังหมายถึงปัญญาที่จะส่องแสงสว่างให้กับชีวิต เพราะถ้ามีปัญญาที่ดีก็ทำให้ทุกอย่างดีทั้งหมด ถ้าทุกคนมีปัญญาก็สร้างความร่ำรวยได้แน่นอน” 


พอก้าวผ่านประตูเข้าไปจะเห็นประติมากรรมปูนปั้นเด็กสองคนที่ออกแบบเองตั้งอยู่ทางด้านขวามือ กลางสวนหย่อมเล็กๆ พร้อมอ่างดอกบัว 2 อ่างที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้ร่มรื่น เยื้องไปทางซ้ายเป็นอาคารจอดรถ 2 ชั้น ใหญ่โตโอ่อ่าสำหรับยานพาหนะทั้งหมด 12 คัน ชั้นบนแบ่งส่วนเป็นมุมเล่นสนุกเกอร์ในวันพักผ่อน และห้องออกกำลังกายที่ใช้บริการอยู่เป็นประจำ พร้อมทั้งโซนห้องพักของพนักงาน เดินเข้ามาในตัวบ้าน ดร.ธนิต เล่าถึงที่มาของบ้านหลังปัจจุบันว่า ก่อนหน้าเคยมีบ้านหลังเล็กๆ ชั้นเดียวแถวรามอินทรา ด้วยความที่เคยชินกับแถวนี้ กระทั่งในปี 2528 จึงมาสร้างบ้านหลังนี้อยู่ในย่านนวมินทร์ 

“สมัยนั้นแถวนี้ยังไม่มีบ้านมากมายแบบนี้ ทุกอย่างยังเงียบสงบดี ตลอดระยะเวลากว่า 27 ปีที่อยู่มาก็รู้สึกผูกพัน เลยไม่คิดที่จะย้ายไปอยู่ในหมู่บ้านใหญ่ ส่วนลูกทั้งสองคนก็เคยชินเลยไม่อยากจะย้ายไปไหน” ถามถึงสไตล์การออกแบบบ้านที่ควบคุมการก่อสร้างเอง “ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบบ้านแบบไทย เลยไปสร้างบ้านสไตล์ไทยๆ แบบรีสอร์ท บนพื้นที่ 5 ไร่ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน ย่านดอนหวาย จ.นครปฐม ทุกตารางนิ้วเน้นให้ดูเป็นป่าดงดิบ เพราะนำหินมาสร้างเป็นน้ำตกเสมือนอยู่ในป่าจริงๆ โดยมีต้นไม้ใหญ่มากมาย เมื่อบ้านพักตากอากาศมีต้นไม้จำนวนมากแล้ว จึงมาออกแบบบ้านหลังนี้สไตล์ยุโรป ที่สำคัญเน้นการอยู่แบบเรียบง่าย


“ภรรยาผมช่วยแต่งบ้านได้เยอะ พอสร้างบ้านสไตล์ยุโรปเลยมีการผสมผสานความเป็นไทยเอาไว้ และบ้านเราเน้นเรื่องมอบความรักให้กันด้วย” ซึ่งพื้นที่โดยรอบบ้านจะเห็นปูนปั้นรูปกามเทพประดับตกแต่งอยู่ทั่วบริเวณ สะท้อนถึงความรักความอบอุ่นของคนในครอบครัวที่มีให้แก่กัน 

 
//สมาชิกทุกคน...มีมุมส่วนตัว


ส่วนห้องโถงชั้น 1 มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 200 ตารางเมตร ใช้เป็นศูนย์รวมพบปะของครอบครัวในการทำกิจกรรมร่วมกัน โดยผนังห้องประดับภาพลายฉลุที่เจ้าของบ้านออกแบบมาให้เหมือนป่า มีรูปนกและกระรอกป่ายปีนอยู่บนกิ่งไม้ คล้ายอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เรียกว่าสมาชิกในบ้านทุกคนจะมีมุมส่วนตัว พอกลับเข้ามาจะไม่ค่อยเจอหน้ากัน แต่จะพร้อมหน้าตอนรับประทานอาหารเป็นส่วนใหญ่ เจ้าของบ้านคุยพลางพาเดินชมบันไดวนที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ


“พื้นที่ส่วนตัวของผมอยู่ชั้น 2 มีห้องรับแขกเล็กๆ ห้องอ่านหนังสือ ห้องคาราโอเกะ ห้องออกกำลังกาย ห้องนอน ภรรยาผมกับลูกสาว (น้องหนู-ปิยรัตน์) ก็มีโซนเป็นของตัวเองเช่นกัน ส่วนลูกชาย (ลูกเต๋า-ว่าที่ ร.ต.ธเนศร์) จะอยู่ชั้น 3 เป็นห้องนอน และห้องหนังสือ แต่ละคนมีมุมที่เป็นส่วนตัวจริงๆ ถ้าไม่นัดมาคุยก็จะไม่เจอกัน (หัวเราะ)” 


//ทุกมุมบ้าน…วางตามฮวงจุ้ย
เข้าไปถึงกลางบ้านที่จำลองบรรยากาศสวนป่า สะพานไม้ทอดตัวบนบ่อเลี้ยงปลา กำแพงด้านขวาเนรมิตเป็นน้ำตกจำลองขนาดย่อม “ผมเป็นคนชอบนก ชอบต้นไม้ แล้วก็ชอบน้ำ เพราะบ้านที่ดอนหวายน้ำจะเยอะมาก พอมาถึงบ้านหลังนี้มีความคิดว่าถ้าเอาน้ำมาใส่ไว้ในบ้านน่าจะทำให้ร่มรื่น บ่อปลานี้ก็มีปลา 8 ตัว เพราะผมเป็นคนเชื่อเลข 8 อย่างทะเบียนรถก็จะต้องมีเลข 8 รวมอยู่ด้วยทุกคัน หรือเบอร์โทรของผมเองก็ต้องมีเลข 8 เหมือนกัน ครอบครัวผมเป็นคนจีน เลข 8 แปลว่าดี แล้วยังหมายถึงความร่ำรวย มั่งคั่ง ได้เงินในพริบตา ส่วนคนไทยจะนิยมเลข 9 หรือเลข 1 พอมีบ่อน้ำแบบนี้ก็ทำให้บ้านไม่แข็งเกินไป”  

ถัดจากบ่อปลาก็เป็นโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 16-20 คน  ซึ่งใช้สำหรับรองรับญาติของครอบครัวที่มาพบปะสังสรรค์กันเป็นประจำ  “บ้านในความหมายของผมจะใหญ่หรือเล็กไม่เป็นไร แต่อยู่แล้วอบอุ่น แล้วต้องมีมุมที่เป็นส่วนตัว เพราะทุกคนจะสนุกสนานกับชีวิตยังไง กลับบ้านก็ต้องมีมุมส่วนตัวของตัวเอง ทุกวันนี้แม้ว่าลูกทั้งสองคนจะแต่งงานกันไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไปๆ มาๆ ไม่ขาด ทำให้รู้สึกอบอุ่น”


นอกจากนี้คุณธนิตยังบูชาเจ้าแม่อุมาเทวีขี่เสือ เพราะเกิดปีเสือนั่นเอง “ตั้งแต่หน้าบ้านสังเกตให้ดีว่าผมมีสิงห์สองตัวเฝ้าอยู่บนกำแพงติดกับประตูบ้าน เพื่อให้พิทักษ์บ้านเอาไว้ บ้านหลังนี้พอเดินผ่านประตูบ้านจะเห็นว่ามีประตูเล็กที่อยู่ตรงข้ามกัน ผมก็เอาปูนไปโบกปิดเลย ตามหลักฮวงจุ้ยถ้าเปิดประตูเข้ามาแล้วทะลุไปถึงประตูหลังบ้านจะไม่ดี ตรงนี้ถือว่าเป็นถุงเงินถุงทอง สังเกตไหมว่าเดินเข้ามาจะเห็นนาฬิกาทั้งในและนอกบ้าน ผมเชื่อว่าจะช่วยหมุนและปัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป


“อย่างบ่อน้ำที่อยู่กลางบ้านผมเชื่อว่าสิ่งไม่ดีอะไรที่เกิดขึ้นก็ขอให้ลงไปในน้ำ เพราะด้านล่างเจาะรูเป็นสะดือ น้ำจะหมุนแล้วออกไปอยู่นอกบ้าน หรืออย่างน้ำตกหลายๆ คนมองว่าไม่ดี ทุกอย่างจะตก แต่ความหมายของผมเห็นว่าน้ำที่ตกลงมาหมายถึงสิ่งดีๆ ที่ตกลงมาจากฟ้า ตกแต่ของดีๆ ลงมา เปรียบเหมือนฝนไม่ตกก็แล้ง แต่ถ้าฝนตกก็จะอุดมสมบูรณ์” ตรงนี้ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่เจ้าของบ้านไม่สงวนลิขสิทธิ์
 

//ครอบครัว คือ You are the world.


แม้จะต้องทำงานจนแทบไม่มีเวลา แต่สำหรับครอบครัว ดร.ธนิตขอให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง 
“ตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงวันนี้ผมแบ่งเวลาให้กับครอบครัวไม่เคยขาด ไม่ว่างานยุ่งแค่ไหนวันอาทิตย์จะเป็นวันครอบครัว จะไม่ยอมรับนัดใครเด็ดขาด วันจันทร์-เสาร์อย่าได้หาตัวผม (หัวเราะ) หากวันไหนจะต้องไปรับลูกผมจะลงไว้ในตารางล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เลย โดยไม่ยอมผิดนัดลูก ถ้าไม่จดบันทึกเอาไว้งานประจำกับงานสังคมจะกินเวลาของผมไปหมด ทุกวันนี้แม้ลูกๆ จะมีครอบครัวแล้วแต่ผมยังต้องจดว่าวันนี้จะมากินข้าวเที่ยงหรือข้าวเย็นด้วย ผมแพลนเอาไว้จนถึงสิ้นปี ไม่งั้นเราให้เวลาสังคม แต่กลับลืมให้เวลาครอบครัว


“สมัยลูกๆ ยังเล็กไม่ว่าผมจะกลับบ้านดึกแค่ไหนจะต้องเข้าไปทักทายลูกๆ เสมอ หรือถ้าดึกมากผมต้องตื่นเช้าไปเคาะประตูเพื่อพูดคุยกับลูก ยิ่งลูกอยู่เมืองนอกผมต้องโทรคุยกันทุกวัน เพราะการที่เราคุยกับลูกตั้งแต่เด็กทำให้เขาไว้วางใจเรา มีอะไรเขาก็จะมาปรึกษาตลอด อย่างเรื่องเพศผมก็สอนลูกชายเหมือนเป็นเพื่อนให้รู้จักการป้องกัน ซึ่งเขาไม่กล้าคุยกับแม่แน่นอน ถ้าให้ลูกไปรู้จากเพื่อนบางครั้งเกิดอะไรผิดพลาดมันก็แก้ยาก


“ส่วนลูกสาวผมก็ไปซื้อหอยสังข์มาแล้วเอาไปเลี่ยมทองเก็บไว้บนพานทอง โดยสลักชื่อพ่อชื่อแม่ไว้ที่หอยสังข์ ระหว่างเอามาเช็ดก็ให้ลูกสาวช่วยตั้งแต่เล็กๆ แล้วสอนเขาว่า ถ้าลูกทำตัวดีพ่อแม่จะได้หลั่งน้ำสังข์ หากทำตัวไม่ดีจะไม่มีผู้ชายมาขอ ลูกจะไม่ได้แต่งงาน กระทั่งวันแต่งงานเขาเอาสังข์อันนี้มาให้พ่อกับแม่รดน้ำ ลูกสาวถึงกับร้องไห้” ถึงแม้จะเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในสังคมเพียงใด ก็ไม่เคยมองข้ามในการใส่ใจดูแลลูกและทุกคนในครอบครัว 
“คนที่รักเราที่สุดคือคนที่บ้าน คนข้างนอกอยู่กับคุณเพราะคุณมีหน้ามีตา มีศักดิ์ศรี มีเกียรติยศเขาถึงคบกับคุณ ในบ้านเราเป็นโลกของเขา แต่นอกบ้านเราเป็น Something in the world. เป็นสิ่งย่อยๆ ในโลก แต่ที่บ้าน You are the world. เราเป็นโลกของคนที่บ้าน ผมใช้หลักนี้ในการดำเนินชีวิต ผมถึงเป็นคนติดดิน”
 

//วางยุทธศาสตร์ให้ลูก


ชีวิตการทำงานได้วางยุทธศาสตร์ให้กับสังคมมาแล้วมากมาย นักธุรกิจพันล้านก็ไม่ลืมที่จะวางยุทธศาสตร์ให้กับลูกทั้งสองคน “ลูกทั้งสองคนของผมเรียนดีกันหมด ลูกชายจบกฎหมาย ธรรมศาสตร์ ส่วนลูกสาวจบรัฐศาสตร์ จุฬาฯ อันนี้ไม่ใช่เรื่องของการฟลุก เราต้องดูลูกด้วยว่าเขาเรียนหนังสือเก่งไม่เก่งยังไง ต้องรู้ว่าเขาถนัดอะไร คณิตศาสตร์ลูกชายไม่เก่ง หัวหมอนิดหน่อย (หัวเราะ) เป็นคนชอบคิดชอบถาม ผมวางให้เขาเรียนกฎหมาย ผมวางยุทธศาสตร์จุดอ่อนจุดแข็งให้กับลูกทั้งสองคนมาโดยตลอด เราวางยุทธศาสตร์ให้กับบริษัท วางยุทธศาสตร์ให้กับประเทศ ดังนั้นเราต้องวางยุทธศาสตร์ในการเอนทรานซ์ของลูกๆ ด้วย อย่างลูกภาษาอังกฤษไม่เก่ง ผมก็ให้ไปเรียนภาษาเยอรมัน เพราะทุกคนเริ่มต้นเรียนแบบ ก ข เหมือนกันหมด พอเอนทรานซ์เขาเลือกภาษาเยอรมัน ทำให้จุดอ่อนที่เขามีกลายเป็นจุดแข็งขึ้นมาทันที


“ลูกสาวเก่งภาษาผมให้เลือกรัฐศาสตร์แล้วไปกวดวิชาสังคม กับภาษาไทย ตลอด 6 ปีก่อนเอนทรานซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนมองข้าม ตรงนี้ก็เป็นการวางแผน ขนาดลูกสาวเรียนจบมาแล้วต้องหางาน ผมก็วางแผนว่าจะให้ทำงานกับเรา หรือให้ไปทำที่อื่น แล้วเขาจะได้เนื้อคู่อย่างไร ถ้าวางแผนให้ทำงานอยู่กับเรา สุดท้ายอาจได้ลูกน้องเรา ดีไม่ดีเราก็ไม่รู้ (หัวเราะ) ถ้าให้ไปทำงานข้างนอกเราไม่รู้ว่าจะได้ใคร พอดีนึกได้ที่กรมส่งออก ผมเลยให้เขาไปทำตรงนั้นจะได้เจอคนที่มีความรู้ คนดี เพราะต้องทำงานกับต่างประเทศ” ที่สุดลูกสาวก็ได้แต่งงานกับหนุ่มส่งออกที่มาจากการวางยุทธศาสตร์ของผู้เป็นพ่อ

 
//อ่านหนังสือ-เขียนตำรา
คุณธนิต จบปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ คณะบริหารธุรกิจ สาขาโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
ถึงแม้ว่าจะวางยุทธศาสตร์ให้กับลูกๆ จนสำเร็จมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะวางยุทธศาสตร์ให้กับตัวเองด้วยการออกกำลังกายทุกวัน ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์จะปั่นจักรยานหลายกิโลเมตร โดยสาเหตุที่ต้องหันหลังให้กับการตีกอล์ฟเพราะใช้เวลามากทำให้ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว 


“งานอดิเรกของผมจะชอบค้นคว้า อ่านหนังสือ ผมก็เขียนหนังสือเป็นตำราเรื่องโลจิสติกส์ และด้านอื่นๆ เป็นตำรานักเรียน 7-8 เล่ม และยังมีบทความในเว็บไซต์ส่วนตัว www.tanitsorat.com ส่วนใหญ่ผมเขียนเป็นเชิงวิชาการล้วนๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน เรื่องโลจิสติกส์กว่า 600 เรื่อง มียอดคนเข้ามาดูแล้วกว่า 500,000 คน ไปที่ไหนก็มีคนกล่าวถึงผมก็ภูมิใจ” 

 


//รักพนักงานเหมือนครอบครัว


ปัจจุบันคุณธนิตนั่งเป็นประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท V-SERVE GROUP ซึ่งมีทั้งหมด 15 บริษัท มีพนักงานประมาณ 1,000 คน ส่วนงานสังคมยังทำหน้าที่เป็น รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ประธานสภาธุรกิจ GMS ประเทศไทย, รองประธานและเลขาธิการสภาธุรกิจไทย-พม่า, สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, รองประธานคณะทำงานเศรษฐกิจมหภาค การเงิน การคลัง, กรรมการฝ่ายวิชาการสมาคม วปอ. และอดีตที่ปรึกษา รมช.กระทรวงคมนาคม
“บริษัทของผมทำมา 30 ปี เราก็ได้แบ่งหน้าที่รับผิดชอบกันไป แบ่งเบาภาระจากผมไปได้ พยายามเอาพนักงานมาเป็นหุ้นส่วนให้มากที่สุด เพราะพนักงานทุกคนอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ แทนที่จะให้เขาออกไปตั้งบริษัท ผมก็เอาเขามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อรันบริษัทของเราต่อไป บางคนเป็นคนรุ่นใหม่ไม่มีตังค์ผมก็บอกว่าให้เอาสมองมาแลกกับหุ้น หลายบริษัทของผมจะได้คนเก่งๆ มาช่วยงาน บางคนจบคอร์เนล บางคนทำงานอยู่ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ฯ ก็มาทำงานกับเรา แล้วก็เป็นหุ้นส่วนทำให้บริษัทเดินหน้าไปได้ดี


“บางคนมีความทะเยอทะยานมากก็ให้ไปตั้งบริษัทอยู่ทางภาคใต้ ตรงนี้ทำให้มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น ส่วนลูกๆ มาช่วยงาน แต่เป็นงานที่ดูเป็นส่วนๆ ไป ไม่ใช่ทำแบบกงสี แม้บริษัทจะเป็นเจ้าของคนเดียวก็ตาม แต่เรามีพนักงานเป็นหุ้นส่วน ตอนนี้บริษัทผมกำลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ชีวิตส่วนใหญ่ 70% ของผมจะอยู่ในสังคม เพราะลูกๆ และพนักงานก็เป็นแขนเป็นขาในการรันบริษัทให้เดินหน้าต่อไปได้แล้ว” คุณธนิตใช้พรหมวิหาร 4 (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) ในการดูแลพนักงานให้เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทั้งยังตั้งกองทุนการศึกษาให้กับทายาทของพนักงานกว่า 100 ทุนทุกปี และมีกองทุนให้กู้ยืม รวมทั้งมีงบซ่อมแซมบ้าน พร้อมกองทุนค่ารักษาพยาบาล เช่น ผ่าตัดหัวใจ หลายคนมองว่าเป็นสวัสดิการที่มากเกินไป “ผมจะมองตรงนี้ว่าเป็นการทำบุญ มันก็ทำให้ผมสุขใจ หากมีพนักงานคนไหนเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุจากการทำงาน ทางบริษัทก็จะส่งเสียให้ลูกเรียนจนจบปริญญาตรี ผมคิดว่าเราทำงานคนเดียวไม่ได้ ทุกคนคือหัวใจในการทำงาน”

 
//ความรวยอยู่ที่ความพอ
ว่ากันว่าสายน้ำไม่เคยคอยท่า เวลาไม่เคยคอยใคร วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใครที่มีความฝันมีเป้าหมายก็จงมุ่งมั่นวิ่งไปให้ถึง เหมือนกับแนวคิดของผู้ชายคนนี้  “เราเป็นหนุ่มต้องใช้ชีวิตให้มีค่า เวลามันผ่านไป บางคนผ่านมา 30 ปี หันกลับไปน้ำตาไหล เพราะเขาไม่ได้วางแผนชีวิตให้กับตัวเอง ดังนั้นทุกคนต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการอะไรในชีวิต ถ้าคุณต้องการเกียรติยศ มีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากไปถึงจุดนั้นคุณต้องวางแผนว่าจะทำยังไง ถ้าไม่วางแผนปล่อยให้ไปตามยถากรรม มันเหมือนกับการลอยกระทง เมื่อเราจุดธูปเทียนแล้วปล่อยให้มันลอยออกไปจะไปเจอลมเจออะไร บางทีก็ไปติดกองสวะ บางคนเจอเด็กกักกระทง บางอันก็ไหลไปเรื่อยตามกระแสน้ำ แต่ชีวิตเราปล่อยให้เป็นกระทงไม่ได้ ดังนั้นพอเราเข้าทำงานก็ต้องวางแผนว่าต้องการอะไรในชีวิต


“ถ้าต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจก็ต้องเลือกธุรกิจที่อยากจะเป็น เลือกบริษัทที่ไม่ใหญ่มาก พอที่จะก๊อบปี้เขาได้ ก๊อบปี้ที่ว่านี้คือ ก๊อบปี้ในธุรกิจที่เขาทำ เช่น ยุทธศาสตร์ ระบบการทำงาน เพื่อนำมาเป็นแบบจำลองที่เราจะทำธุรกิจแบบนั้นบ้าง ผมไม่ได้บอกว่าให้ไปก๊อบปี้ทรัพย์สินทางปัญญา แต่เป็นการดูระบบการทำงานของเขา อย่างไปอยู่ธนาคารมันใหญ่มาก คุณจะเป็นเจ้าของธนาคารก็ยาก หรือไปอยู่ซีพี แล้วจะเป็นเจ้าของซีพีได้ยังไง ผมออกจากราชการไปอยู่บริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งใหญ่มาก หัวถึงท้ายโรงงานยาว 4 กิโลฯ มีพนักงาน 7,000 กว่าคน ผมตอบโจทย์ตัวเองว่า โรงงานใหญ่ขนาดนี้เราไม่สามารถเป็นเจ้าของได้เลย


“ผมออกมาอยู่บริษัทที่มีคนทำงานเพียง 7 คน คนที่ 7 คือผม แล้วเป็นบริษัทส่งออก ยิ่งเล็กยิ่งโต มองตรงนี้ว่าใช่เลย เราต้องโตด้วยตัวเราเองได้แน่นอน ผมอยู่จนบริษัทเขาเติบโต ที่สุดแล้วก็ได้โมเดลการทำงานแบบนั้นมาทำบริษัทของตัวเอง และบริษัทนั้นก็เป็นลูกค้ารายแรก ผมมาตั้งบริษัทโลจิสติกส์ 3 ปีแรกมันเหนื่อยมาก เพราะต้องเป็นผู้จัดการยันภารโรง ต้องล้างส้วมเองด้วย นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย เราเป็นเถ้าแก่ เป็นเจ้าของบริษัทเราต้องทำเอง พอเราทำลูกน้องก็จะทำตาม ดังนั้นความซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อลูกค้าเป็นหลักสำคัญ อย่าคดโกงคน ซื่อสัตย์ต่ออาชีพของเราด้วย เสียหายผิดพลาดต้องกล้าชดใช้ ไม่ทำธุรกิจที่แข่งกับลูกค้าของเรา


“ชีวิตมาถึงวันนี้ก็ไม่คิดว่าผมประสบความสำเร็จ อยากจะใช้อะไรก็ใช้ อยากทำอะไรก็ทำ เพราะความรวยอยู่ที่ความพอ พอเมื่อไหร่ก็รวย ถ้าคุณไม่พอมีหมื่นล้าน พันล้านก็ยังวิ่งหาเงินอยู่ แต่ถ้าคนคิดว่ามีเงินหมื่นพอก็ทำให้เรารวยแล้ว เพราะความรวยหลักอยู่ที่ความพอ ถึงวันนี้ผมมีเงินไม่เยอะเหมือนใครบางคนที่มีเป็นร้อยๆ ล้าน แต่ผมมีความพอ ไม่ต้องให้ลูกลำบาก เราไม่ลำบากตอนแก่ เราพอกับชีวิตตรงนี้ เมื่อเราพอเราก็อิ่ม พอเราอิ่มก็ไม่หิว” เชื่อว่าแนวคิดในทางสร้างสรรค์ของผู้ชายที่ชื่อ ดร.ธนิต โสรัตน์ น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้หนุ่มสาวรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จในชีวิตแบบเขาได้เช่นกัน...