“เจ้าแม่หน้าเด้ง” วิภารดี ภูวนาถนรานุบาล “ตาบอด...เพราะขาดสติ”

“เจ้าแม่หน้าเด้ง” วิภารดี ภูวนาถนรานุบาล “ตาบอด...เพราะขาดสติ”

 

  

 

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์
แต่งหน้า : เกตน์สิรี บุญแปง
สถานที่ : โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท
 
 
“เจ้าแม่หน้าเด้ง”
วิภารดี ภูวนาถนรานุบาล “ตาบอด...เพราะขาดสติ”
 
 
 
ฉากชีวิตไม่ได้สวยงามตลอดไป แต่วิถีชีวิต “เจ้าแม่หน้าเด้ง” ที่ขาดสติจนตาบอดสนิท เมื่อโดนสเปรย์ฉีดผมทำลายดวงตา ที่สุดก็ได้รับบริจาคดวงตา ที่ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือที่สุดการปลูกถ่ายอวัยวะดวงตาของ ป้อม-วิภารดี ภูวนาถนรานุบาล อดีตเจ้าของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เบลล่านีน่า ในเครือบริษัท พล็อต แอนด์ แพลน จำกัด เจ้าของฉายา “เจ้าแม่หน้าเด้ง” ก็ประสบผลสำเร็จ
 
 
/// ตาบอด...เพราะประมาท
คุณป้อมได้เล่าเรื่องราวหลังจากได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาให้ฟังว่า ตาข้างขวาบอดสนิท เป็นเหตุที่เกิดจากเรื่องคาดไม่ถึงระหว่างฉีดสเปรย์ใส่ผม ละอองก็พลาดเข้าไปในตา ตอนนั้นคิดว่าคงไม่เป็นอันตรายอะไรมาก จึงนำยามาหยอดตาเอง แต่ปรากฏว่าตัวยามีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรงจนต้องเสียดวงตาข้างขวาไป ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ได้กำลังใจจากครอบครัว โดยเฉพาะสามี (ปรารภ โมกขะเวส)
 
“ตอนนั้นคุณปรารภทำโครงการอยู่ที่สิงคโปร์ คืนนั้นมีแขกคนสำคัญที่เราต้องไปพบ แล้วพี่เป็นคนทำอะไรช้าอยู่แล้ว วิ่งจัดโน่นจัดนี่ แล้วก็วิ่งมาเปลี่ยนเสื้อผ้า คุณปรารภบอกว่าอย่าช้ามาก เดี๋ยวแขกคนสำคัญจะคอย พี่กำลังจะหันไปเถียงว่า ไม่ได้ช้า แต่จิตใต้สำนึกของเราจะรู้ว่าเราช้าจริงๆ ขณะที่กำลังเถียง เป็นเวลาเดียวกันที่จะฉีดสเปรย์ใส่ผม พอหันไปเถียง มือที่ถือสเปรย์มันตกลงมาอยู่ในระดับตา เรากดสเปรย์ไปด้วยความรีบ พอกดปุ๊บ สเปรย์ก็เข้าตาทันที รู้สึกตกใจ เพราะมันแสบมาก รีบล้างตาด้วยน้ำก๊อก ถ้าวันนั้นหยุดอยู่แค่ตรงนั้น มันคงไม่เกิดเรื่องที่รุนแรงขนาดนี้... แต่กลับไปล้างหน้าล้างตาแต่งหน้าใหม่ และพอกำลังจะเดินออกจากห้อง ก็เห็นว่ามียาหยอดตาอยู่หนึ่งขวด
 
“เราไม่รู้หรอกว่าเราโง่มาก เพราะยาหยอดตามีหลายสิบชนิด ยาหยอดตาบางชนิดใช้กับตาที่มีบาดแผลไม่ได้ แล้วก็ไม่ทราบว่าสเปรย์ที่ฉีดลงไปมันกระจายออกไปเป็นละออง และทุกๆ ละอองที่โดนตาก็คือแผล ก็เลยหยิบมาหยอดตา พอออกไปงานก็รู้สึกว่าปวดตา ก็หยิบเอามาหยอดตาอีก โดยไม่ทราบว่ายาหยอดตานั้นมี steroid และทุกๆ อณูของละอองที่โดนตาเรา พอ steroid เข้าไปโดนปุ๊บ steroid จะเปิดแผลให้กว้างขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปจะมีเชื้อโรคในอากาศก็จริง แต่เชื้อโรคไม่สามารถเข้าตาเราได้ เพราะว่าเราไม่มีแผล แต่สเปรย์ทำให้เป็นแผล เชื้อโรคในอากาศก็เลยเข้าไปทำร้ายในดวงตาของเราเข้าไปอีก ทำให้ตาเกิดเป็นน้ำเหลืองน้ำหนองอย่างรวดเร็ว
 
“วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ต้องจัดบ้านที่สิงคโปร์เพราะเพิ่งย้ายไป ซึ่งก็มีฝุ่นเยอะมาก แล้วไม่รู้ว่าฝุ่นเหล่านั้นมันยิ่งเข้าตาเราได้อีก คุณปรารภถามว่าจะไปหาหมอมั้ย เราก็บอกไปว่าไม่เป็นไร มียาหยอดตาแล้ว ช่างเป็นความโง่ที่สุด พออยู่ไปได้สองสามวันก็เริ่มปวดหัว แต่ไม่ทราบว่านั่นเกิดจากตา นึกแค่ว่าปวดหัวธรรมดา ตรงนี้ถือว่าเรายังโชคดีหน่อย เพราะระหว่างนั้นเป็นคนชอบไปถือศีล จำได้ว่าอยากจะไปถือศีลกับหลวงปู่ที่วัดใหญ่ชัยมงคล เลยบอกกับสามีว่าไม่อยากอยู่ต่อแล้ว พอกลับถึงเมืองไทยก็ไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน จังหวะนั้นก็คิดว่าลองเข้าไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ก่อนก็แล้วกัน พอหมอตรวจก็บอกให้อยู่ที่โรงพยาบาลเลย เพราะถ้ามาช้าอีกหนึ่งวัน ม่านตาจะทะลุ ตาจะบอดถาวรเลย
 
“เรื่องที่เกิดขึ้นมันเร็วเกินความคาดหมาย พออยู่โรงพยาบาลคุณหมอก็ปลิ้นเปลือกตาขึ้น แล้วก็ฉีดยาเข้าไป คุณหมอบอกว่าจะแสบและเจ็บมาก แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก่อนฉีดคุณหมอก็ให้พยาบาลล็อกมือล็อกขาหมดเลย มันเจ็บแสบเหมือนโดนไฟ ตามที่เขาบอกว่าไฟนรก เราก็คิดว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกตรงนี้ เพราะพี่ปวดมาก ร้องกรี๊ดลั่นโรงพยาบาลเลย เป็นแบบนี้อยู่ประมาณสามสี่วัน คุณหมอบอกแผลที่เป็นลามเร็วมาก เอาไม่อยู่ คุณพ่อคุณแม่เลยพาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะที่นั่นจะมีทีมแพทย์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย คุณหมอก็หยอดตาเพื่อให้แผลในตาปิด แต่อยู่หลายวันก็ยังไม่ปิด ถ้าแผลยังไม่ปิดต้องเปลี่ยนลูกตาดำ ทำให้เราเครียดมาก คุณหมอก็เลยอนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ พอถึงวันนัดมาหาหมอ ดีใจมาก คุณหมอบอกว่าแผลปิดร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว” ความรู้สึกที่แผลปิด เธอดีใจที่ไม่ต้องผ่าตัดดวงตา
 
 
////// เปลี่ยนดวงตา...
“รักษาตัวอยู่บ้านเกือบ 2 ปี แต่ก็มาหาหมอที่บำรุงราษฎร์เพื่อตรวจดวงตาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันหนึ่งคุณหมอบอกว่า รู้สึกว่าดวงตาจะผิดปกติ ให้ไปที่จุฬาฯ อีกครั้งเพื่อให้อาจารย์หมอตรวจให้ พอเจออาจารย์หมอท่านก็บอกว่าตาบวมมากจนผิดปกติ อาจจะเป็นต้อหิน ต้องผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาด่วน หมอบอกว่าพอดีเมื่อคืนนี้เพิ่งได้ดวงตามาหนึ่งคู่ เป็นดวงตาที่ดีจากผู้ที่บริจาค ซึ่งอายุน้อยมาก จริงๆ เขาจะต้องให้เด็กก่อน เพราะเด็กจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนาน ปรากฏว่าโทรตามเด็กให้มารับดวงตานี้หลายสิบคน ส่วนใหญ่ไม่สบายและติดต่อไม่ได้ หมอบอกว่าถ้าทิ้งไว้นาน ดวงตาจะเสื่อม เลยต้องเอามาใช้ให้เร็วที่สุด
 
“ตอนแรกจะไม่ยอมทำ บังเอิญว่าคุณปรารภไปด้วยก็บอกให้ทำ แต่มีข้อแม้ว่าถ้าให้ทำต้องวางยาสลบให้ด้วย ตอนแรกกะว่าหมอและสามีเผลอจะนั่งแท็กซี่หนีกลับบ้าน (หัวเราะ) ปรากฏว่าคุณปรารภรู้ทัน เลยดึงตัวเราเอาไว้ตลอดเวลา ในที่สุดก็ได้ผ่าตัดดวงตา ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 4 ชั่วโมง เพราะคุณหมอบอกว่าเป็นการผ่าตัดที่ยากมาก ต้องผ่าถึง 4 อย่าง” ระหว่างลงชื่อเข้าคิวเพื่อขอรับบริจาคดวงตาอยู่นั้น ถ้ารอตามคิวอาจจะใช้เวลาเป็นปี ถือว่าเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิต
 
 
/// ปาฏิหาริย์เจ้าของดวงตา
ในคืนที่ผ่าตัดนั้นไม่มีใครอยู่เฝ้า ประมาณตี 5 คุณป้อมได้ฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งดูท่าทางสง่างามมาก ใส่เสื้อสีเทาหม่นๆ ปนสีทองคล้ำๆ ระหว่างที่ผู้ชายเดินนำหน้ามาหา ก็มีผู้หญิงใส่เสื้อผ้าสีเทาออกม่วงๆ มีผมทรงฟาร่าปิดหน้าทั้งหมด เดินตามมาด้วย
 
ในฝันอยากรู้ว่าทั้งสองเป็นใคร คุณป้อมจึงถามไปว่า ท่านทั้งสองเป็นใคร ผู้ชายในฝันก็พูดว่า จะพาผู้หญิงคนนี้มาอยู่ด้วย จะให้อยู่ได้ไหม ในฝันก็ตอบทันทีว่า มาอยู่ก็ได้ แต่การตอบในคืนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร วันรุ่งขึ้นพอจะตื่นขึ้นก็ฝันแบบเดิมอีก เธอจำได้ว่าฝันแบบนี้อยู่ประมาณ 3 ครั้ง เมื่อทบทวนความฝันก็สังหรณ์ว่าไม่ใช่ความฝันธรรมดา ทำให้มั่นใจว่าต้องเป็นเจ้าของดวงตาที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
 
“รุ่งเช้าก็รีบโทรศัพท์หาสามี ว่าก่อนออกจากบ้านให้ช่วยตักบาตรแทนป้อมด้วยนะ เพื่ออุทิศให้กับเจ้าของดวงตา พร้อมให้ช่วยซื้อเครื่องสังฆทานมาด้วย พอสามีมาถึงก็กรวดน้ำและนำสังฆทานยกขึ้นแล้วอธิษฐานว่า บุญกุศลทั้งหมดที่ทำ ขออุทิศให้กับเจ้าของดวงตา ขอให้ท่านได้รับสิ่งเหล่านี้ไป โดยก่อนหน้านี้นางพยาบาลถามว่าฝันเห็นอะไรบ้างไหม จากนั้นอีก 3 วันได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้นางพยาบาลที่อยู่ที่ตึกจุมภฎพงษ์บริพัตรฟังว่าเห็นผู้ชายท่านหนึ่งมาหาทุกคืนเลย ส่วนผู้หญิงน่าจะเป็นเจ้าของดวงตา นางพยาบาลก็ยิ้มๆ แล้วพูดว่า คุณป้อมลองไปที่ห้องโถงสิ พอเดินลงไปถึงก็จะเห็นรูปปั้นของพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรอยู่กลางห้องเหมือนที่เห็นในฝันเลย ทันทีที่เห็น ตัวเองถึงกับผงะ เพราะตะลึงและตกใจมาก อุทานออกมาเลยว่า ใช่แล้ว คนที่อยู่ในฝัน” เธอเล่าถึงความฝันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมกับเล่าให้ฟังต่อว่า “นางพยาบาลยังได้เล่าให้ฟังว่า เป็นเรื่องธรรมดาหากใครผ่าตัดสำเร็จ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรจะพาเจ้าของดวงตาให้มาอยู่ด้วยกัน หลังจากได้ไปกราบท่าน ตั้งแต่บัดนั้นก็ไม่ฝันเห็นอีกเลย จำได้ว่าใครเดินทางมาเยี่ยมก็จะให้ช่วยกันบริจาคเงินเพื่อเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับท่านเจ้าของดวงตา วันสุดท้ายที่เตรียมจะออกจากโรงพยาบาล ก็ฝันเห็นพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรมากับผู้หญิงคนเดิม
 
“การมาครั้งนี้ทั้งสองท่านสง่างามมาก โดยเฉพาะผู้หญิง ยิ่งมองก็ยิ่งสวยงามมาก ใส่ชุดเป็นสีงาช้างประกายทอง แต่มาคราวนี้ผมทรงฟาร่า หน้าผ่องสวยมาก และในฝันก็ถามท่านว่า มาทำไม ท่านก็บอกว่าจะพาผู้หญิงคนนี้มาอยู่ด้วย การเปลี่ยนดวงตาในครั้งนั้นทำให้ชีวิตทำอะไรก็สมหวังมาตลอด เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เชื่อว่า วิญญาณมีจริง เพราะเมื่อร่างกายดับสูญ กลายเป็นอินทรีย์ ธาตุ ดิน แต่พลังงานของมนุษย์ที่ออกจากตัวเราไป ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว จะนำพาไปเกิดในภพภูมิตามบุญที่ได้ทำไว้ มาถึงวันนี้แล้วก็เชื่อว่าการทำบุญไปถึงผู้ที่เราอุทิศส่วนกุศลให้ บุญที่ว่านี้ไม่มีวันเสื่อมสลาย”
 
 
// เปลี่ยนดวงตา...ชีวิตเปลี่ยน
คุณป้อมเป็นลูกสาวคนเดียว ส่วนน้องเป็นผู้ชายทั้งหมด ทำให้นิสัยคล้ายผู้ชาย หากอยากได้อะไรแล้วไม่ได้ก็จะโกรธ เรียกว่าความใจร้อน ขนาดไฟยังเป็นน้อง แต่พอได้เปลี่ยนดวงตา นิสัยต่างๆ กลับเปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
 
“เกือบ 2 ปี ที่ไม่ยอมออกงานสังคม เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง พูดกับใครปากก็สั่น อายที่ตาบอด แต่พอเปลี่ยนดวงตา ชีวิตพี่ก็เปลี่ยนตั้งแต่วันนั้น ใจเย็นลง ชีวิตมีความหวัง พยายามคิดบวกให้กับตัวเอง ว่าเรามีสามีและลูกที่รักเรา มีพ่อแม่พี่น้องที่รักเรา ยังไงเราก็ต้องเป็นเสาหลักให้กับลูกจนชีวิตพวกเขาจะประสบความสำเร็จ แล้วพี่เองมีความสามารถมาจากอะไรไม่รู้ เพราะเราไม่รู้ตัว เราอาจเก่งบางอย่าง แต่เราไม่เคยรู้ตัว พอตาพี่ดีมองเห็น ก็กลายมาเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในเครือบริษัท พล็อต แอนด์ แพลน จำกัด เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดที่จะทำเครื่องสำอาง พอมีฝ้าขึ้นเต็มหน้าก็เลยเอาสูตรของคุณทวดมาทำแล้วหาย เพื่อนก็เลยมาขอสูตรไปใช้บ้าง และแนะนำให้ทำขาย เลยมาทำ ทั้งโลโก้ ตัวหนังสือ กระปุก และกล่อง ออกแบบเองทั้งหมด
 
“ขนาดข้อความที่เขียนบนกล่องมีหลายคนสงสัยไปเอามาจากไหน พี่เองก็บอกว่าไม่รู้ กระทั่งการเขียนโบรชัวร์ของแต่ละผลิตภัณฑ์ก็ออกมาจากความคิดตอนนั้นเอง แต่ที่เขียนได้เหมือนคนที่อยู่ข้างในตัวเราเป็นคนเขียน ทั้งคำภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พอวันนี้เลิกทำแล้วจะให้คิดถึงข้อความนั้นก็ทำไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) แต่พี่เชื่อว่านั่นคือที่พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรบอกว่าเจ้าของดวงตาจะมาอยู่ด้วย เราก็บอกว่ามาอยู่ด้วยได้ แต่ต้องมาช่วยกันทำมาหากิน ทำให้พี่กลายเป็นคนที่มีอาร์ต ทั้งที่สมัยเรียนสอบเข้างานศิลป์ก็ตก ทุกวันนี้อยากตกแต่งบ้าน วาดภาพ หรือเรียนเปียโน ก็ทำได้หมด ถามว่าทำได้ยังไง พี่ก็เชื่อว่าเจ้าของดวงตาที่อยู่กับพี่ ท่านเป็นคนให้ แล้วท่านก็ทำตามสัญญาของท่านที่ช่วยกันและดูแลกัน”
 
 
//// คืนสุขให้สังคม “บริจาคอวัยวะ”
ปัจจุบันมีผู้ป่วยในระยะสุดท้ายอยู่เป็นจำนวนมากที่ทุกข์ทรมานจากการที่อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ตับ ไต ปอด ฯลฯ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทำให้คุณป้อมตั้งใจบริจาคอวัยวะให้กับสภากาชาดไทยไปเรียบร้อยแล้ว
 
“พี่ได้รับความเมตตาจากเจ้าของดวงตาที่เราไม่รู้จักกันเลย แต่เขาก็บริจาคให้ เราเลยอยากจะสืบทอดตามเจตนาของเจ้าของดวงตาต่อไป พี่เลยไปบริจาคทุกส่วนของร่างกายให้กับสภากาชาดไทย ยกเว้นตาดวงนี้ พี่บอกสามีกับลูกว่า บริจาคอวัยวะให้กับสภากาชาดไทยไปแล้ว พอถึงเวลาก็โทรศัพท์บอกเพื่อให้เขามาเอาไป และเหลือร่างก็นำมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
 
“ไม่เฉพาะการใช้สเปรย์เท่านั้น แต่วันนี้อยากจะบอกกับทุกคนว่า ดำเนินชีวิตในทุกวันขอให้มีสติและระมัดระวัง อย่าคิดว่าเรามีตา มีนิ้วครบแล้ว เราไม่เคยเห็นความสำคัญ ดังนั้นถ้าเรามีสติ ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง และใช้ชีวิตด้วยปัญญา ปัญหามันจะไม่เกิด โดยดวงตาที่ทำให้เรามองเห็นในโลกนี้ และทำให้เราทำมาหากินได้โดยไม่ต้องอาศัยคนอื่น หากเราตาบอด ก็จะเป็นภาระกับครอบครัวและสังคม จงรักษามันให้ดีที่สุด อย่าละเลย หรืออย่าเพิกเฉยเหมือนอย่างพี่”