ล้างหนี้ 16 ล้าน...สู่นักธุรกิจร้อยล้าน

ล้างหนี้ 16 ล้าน...สู่นักธุรกิจร้อยล้าน

 

เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง  ภาพ : ชวกรณ์  สะอาดเอี่ยม  

แต่งหน้า : เกตน์สิรี บุญแปง  เสื้อผ้า : ร้าน madam อาคารหวั่งหลี  ถ.สุรวงศ์

สถานที่ : ร.ร.เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

 

ล้างหนี้ 16 ล้าน...สู่นักธุรกิจร้อยล้าน

“เจ๊พร”(พอลล่า) ปิยพร ตันติกรกุล  “ชีวิตนี้ตายไม่ได้”

 

กว่าชีวิตจะก้าวมาเป็นนักธุรกิจร้อยล้านไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะชีวิตติดลบ 16 ล้าน จนคิดฆ่าตัวตาย แต่ด้วยสติทำให้ผ่านพ้นวิกฤตชีวิตตรงนั้นมาได้อย่างงดงาม

 

กว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จในวันนี้ไม่ง่าย “เจ๊พร” (พอลล่า) ปิยพร ตันติกรกุล  ประธานกรรมการ  บริษัท ไทยเมททอล เซ็นเตอร์ ซัพพลาย จำกัด  เรียกว่าเป็นนักธุรกิจที่ได้ผ่านวิกฤตชีวิตมามากมาย  พอวันนี้มีทุกอย่างแล้วก็ได้อุทิศชีวิตทำงานเพื่อสังคม และพระพุทธศาสนา จนวันนี้ถูกเรียกขานว่า “แม่เลี้ยง” เพราะเป็นแม่พระของชาวดอย

//จากลูกจ้าง...สู่เถ้าแก่ร้อยล้าน

ในปี 2543 ได้เปิด บริษัท ไทยเมททอล เซ็นเตอร์  ซัพพลาย จำกัด เป็นธุรกิจเกี่ยวกับ ค้าเหล็ก  ส่วนปี 2548 บริษัทเพิ่มทรัพย์ ทวีพร จำกัด ค้าขายเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งเครื่องมือช่าง  กระทั่งในปี 2552  เปิด บริษัท ทวีพร สเตชั่นเนอรี่ จำกัด จำหน่ายเครื่องเขียน เครื่องใช้สำนักงาน

“เราเป็นชาวบางพลี ก่อนจะเป็นเจ้าของธุรกิจเคยเป็นลูกจ้างเขามาก่อน เป็นพนักงานขายเหล็ก ทำบัญชี ทำทุกอย่าง ใช้อะไรก็ทำ เป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน พ่อแม่ไม่ได้มีสมบัติอะไรมาให้ แม่เป็นคนจีนพ่อเป็นคนไทย เป็นคนพื้นที่นี้ ซึ่งเมื่อก่อนไม่มีอะไรเลยได้อานิสงส์ของสนามบินที่มาเปิด  เรียกว่าทำงานมาตั้งแต่อายุประมาณ 15 ปี เริ่มตั้งแต่ทำงานโรงงาน ตอนนั้นยังไม่มีบัตรประชาชนเลย แถวนี้เมื่อก่อนทำเกษตรกรรม เลี้ยงปลา แต่เราเลี้ยงไม่เป็น พ่อจะทำและไม่ค่อยให้ลูกผู้หญิงทำโดยใช้ให้ทำงานบ้านแทน แต่เราจะเป็นคนไม่ค่อยอยู่เฉยไม่ค่อยอยู่นิ่ง แล้วก็ช่วยแม่ค้าขายมาตลอดตั้งแต่แต่เด็ก สมัยเด็กเคยคิดว่าทำไมใช้เราคนเดียวคนอื่นไม่เห็นทำบ้างเลย พอมาถึงวันนี้รู้สึกขอบคุณพ่อกับแม่ที่เคี่ยวเข็ญใช้เราทำให้เป็นคนขยัน ตื่นก่อนนอนทีหลัง

“เป็นลูกจ้างตั้งแต่อายุ 15 ปี พออายุ 27 ปี ก็มาเปิดบริษัทขายเหล็กทำทุกอย่าง เป็นบริษัทเล็กๆ ไม่ใหญ่มากคนงานมีอยู่ไม่กี่คน ทำตั้งแต่งานบัญชี จัดส่ง การตลาด ขายของ ติดต่อต่างๆ ทำทุกอย่าง ทำกันอยู่ 2 คน เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเรื่อยๆ ต่อมาได้เปิดร้านขายเครื่องเขียนโดยการนำพาของพี่น้องร่วมกัน และแยกตัวออกมาภายหลังด้วยความถนัดของเราคือ การค้าเหล็ก ธุรกิจเครื่องเขียนมาศึกษาภายหลัง เปิดหน้าร้านมาก็ช่วยกันในกลุ่ม ช่วยกันแล้วก็เปิดบริษัท ไทยเมททอลฯ เริ่มเป็นเจ้าของกิจการเต็มตัว” เธอเล่าถึงชีวิตจากลูกจ้างที่กลายมาเป็นนายจ้างด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

 

// วิกฤตชีวิต “เกือบคิดสั้น”

ประมาณปี 2548  การค้าขายของเธอไม่ได้ราบเรียบเสมอไป เนื่องจากไปเจอมรสุมชีวิต เพราะถูกโกงเรื่องเหล็ก เป็นเงินจำนวน 16 ล้านบาท  “ตอนนั้นรู้สึกแย่ และหนักมากไม่เคยเจอเลย แต่รู้อย่างเดียวเราจะต้องไม่โกงใคร ขณะนั้นรู้เพียงว่าต้องทำอย่างเดียวและต้องเดินหน้าสู้ เป็นมรสุมที่หนักมากเกือบจะฆ่าตัวตายแล้ว จริงๆ นะตอนนั้นลูกก็ยังเล็ก เจ้าหนี้ก็มาทวงเงิน ขนาดกำลังจะคลอดลูกเจ้าหน้าที่เข็นเข้าห้องผ่าตัดบอกให้เจ้าหนี้รอสายแป๊บหนึ่ง ไม่ได้บอกว่าเราจะคลอดลูก แต่บอกให้ทางนั้นรอสายโทรศัพท์ก่อนประมาณ 2 ชั่วโมงค่อยมาคุยกันใหม่ รอให้ฟื้นจากการสลบมา แต่ไม่ได้บอกทางนั้นเขานะ

“ตอนที่คิดจะฆ่าตัวตาย ถือปืนอยู่ในมือ แล้วหันไปมองลูกที่นอนเรียงกัน ลูกชายนอนเรียงกัน 3 คน มีความรู้สึกถ้าเราทำแบบนี้เราเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้าเราจะปล่อยภาระไว้ให้พวกเขา แล้วเราจะยอมแพ้เหรอ ช่วงนั้นเป็นอะไรที่หากใครไม่เคยเจอจะไม่รู้ คนที่เคยผ่านเรื่องพวกนี้มาจะรู้และเข้าใจ ตอนนั้นลูกคนโตอายุ 7 ขวบ คนรองมา 4 ขวบและคนเล็กเพิ่ง 3 ขวบ เป็นวินาทีเฉียดตายจริงๆ เป็นเพียงช่วงเสี้ยววินาที พอหันไปมองภาพลูกเท่านั้น ตัดสินใจเขวี้ยงปืนทิ้งทันที คิดว่าเราต้องสู้ต่อ และจะหนีปัญหาไปอย่างนี้ไม่ได้”

หลังจากนั้นก็มีน้องสาว(จอย วีร์สุดา เดโชกำธร) ที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่มาตั้งแต่ต้น และมาได้สถานที่ตั้งบริษัท ณ ปัจจุบันนี้ “ในปีพ.ศ. 2548 ปีที่เราล้ม สมัยก่อนเราไม่มีหน้าร้านซื้อมาขายไป โดนเจ้าเดียวที่โกง 16 ล้านบาท ต่อมามีโอกาสได้มาเปิดหน้าร้านช่วงแรกมีเพียงคูหาเดียว ไม่ใช่ 10 คูหาเหมือนตอนนี้ หลังจากนั้นเปิดเป็นหน้าร้านเหล็กด้วยการช่วยจากผู้ใหญ่เอาของมาลง และไม่น่าเชื่อว่าร้านในช่วงปี 2548 เริ่มขายดีมากทั้งที่เป็นเพียงร้านเล็กๆ แต่ขายดีแบบส่งไม่ทันเลย คนงานมีไม่กี่คน เรายังต้องขับรถส่งของเองเลย มีคนงานอยู่ 3-4 คนเอง ปัจจุบันมีคนงาน 30 คนแล้ว”

 

// 3ปี ปลดหนี้ 16 ล้าน  

“รู้แต่เพียงว่า เราต้องทำอย่างเดียว รู้ว่าต้องสู้ ไม่ได้คิดอะไรเลย ใครจะให้ไปดูดวงที่ไหนไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เพราะไม่ชอบดูดวง รู้อย่างเดียวว่าให้นึกถึงความดี เราไม่เคยคิดจะโกงใครเลย และเมื่อเราเจอปัญหาแบบนี้เราจะไม่ผลักปัญหาไปให้คนอื่นแน่นอน มีคนแนะนำว่าถ้าเราโดนโกงต้องไปขอหยุดการจ่าย Supplier(ผู้ผลิตสินค้า) ไว้ก่อน ซึ่งเราบอกเลยว่าไม่ใช่ เราเพียงแค่ขอโอกาสเขาเป็นลูกโซ่ต่อไป ว่าเราโดนเขาโกงเราก็ต้องมีปัญหากับ Supplier ดีตรงที่ว่าเจ้าหนี้เราดีและเข้าใจ และรู้จักกันมานาน ซึ่งเราเป็นคนไม่หนีปัญหา คุยกับเขาตลอด ไม่เคยปิดโทรศัพท์ไม่พูดไม่คุย เดินหน้าสู้กับความเป็นจริง เราขอแค่โอกาส ณ ตอนนั้นว่า ให้เวลาเราหน่อย เราจะใช้หนี้ทุกบาททุกสตางค์ ซึ่งไม่รู้ว่าเวลาจะนานแค่ไหนแต่จะทำให้ดีที่สุด  โดยใช้เวลา 3 ปี หมดหนี้ในปีพ.ศ. 2551 ในช่วง 3 ปีที่ใช้หนี้นั้น ชีวิตลำบากมาก จะกินจะนอนอยู่แต่ในบริษัท คือ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน เราต้องขยัน ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุด ทำเอง วิ่งหาตลาดเองขายเองหน้าร้าน

 “อยากบอกว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางออก เพียงแต่ในระยะเวลานั้นเราอาจจะยังคิดไม่ได้ หรืออาจยัง งงอยู่ มึนและท้อแท้ ต้องมีสติอยู่ทุกขณะ เพระเวลานั้นอะไรทุกอย่างจะมารุมเร้าเราหมด เวลาเราแย่จะมีแต่ปัญหาเข้ามาเหมือนทับถม จะให้เราล้มจนไม่สามารถยืนอยู่ได้ จะทำอย่างไร พอมาถึงตอนนี้เมื่อเรามองย้อนกลับไปมองว่าเรารอดมาได้อย่างไร ไม่ได้รอดมาได้เพราะว่าไปโกงเขา คือ รอดจากการมุ่งมั่นทำงานมีสติทุกขณะ ช่วงนั้นจะใช้อารมณ์และหงุดหงิดไปหมด จนเริ่มรู้สึกว่าเริ่มเหวี่ยง ไม่มีสติอารมณ์ความโกรธเริ่มครอบงำ

“แต่เราเป็นคนทำบุญมาตลอดตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนพระสงฆ์จะพายเรือออกบิณฑบาต เวลาฝนตกแม่จะใช้เราให้ถือปิ่นโตนำอาหารไปถวายพระที่วัด เป็นอย่างนี้ทุกวันตั้งแต่เด็กจนเรียนจบ โดนใช้อย่างนี้มาตลอด ก็ซึมซับมานะ และทุกวันพระต้องไปวัด เหมือนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็รู้ว่าเราต้องทำแบบนี้ ทำตามกำลังที่มี มีโอกาสเมื่อไรก็ทำเก็บบุญไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าจะทำทีละครั้งเยอะๆ  เป็นร้อยบาท พันบาท แต่ก่อนเหมือนเราเป็นสะพานบุญเวลาจะไปทำบุญที่ไหนก็จะบอกเพื่อนๆ ร่วมกัน พนักงานของเราด้วย แค่บาทหรือสองบาทก็ได้ ไม่ใช่อยู่ที่ตัวเงินอยู่ที่จิตเป็นสำคัญว่า อานิสงค์ของบุญขึ้นอยู่กับจิตที่เราพร้อมจะทำ ความตั้งใจมากกว่าไม่ใช่ตัวเงิน”เธอเชื่อเรื่องผลบุญที่ทำให้ก้าวผ่านวิกฤตชีวิตมาได้

 

//ชีวิต  “ไกลเกินฝัน”

“จริงๆ แล้วไม่เคยฝันเลยว่าจะมีแบบนี้ เป็นขั้นๆ ไปแต่เป้าหมายนั้น ตั้งใจไว้ว่าจะใช้หนี้ให้หมด 16 ล้านยังไม่คิดจะมีอะไร  แต่จะทำอย่างไรให้ผ่านอุปสรรคตรงนี้ไป ฉันต้องทำให้ได้ เลี้ยงลูกให้ได้ คิดเพียงแค่นี้เอง คิดเพียงปัญหาเฉพาะหน้าว่าเราจะทำอย่างไรก่อน ไม่คิดถึงอนาคต คิดอยู่กับปัจจุบันก่อน ถ้าคิดอนาคตแล้วฟุ้งซ่านเหมือนคนโลภ ถ้าคิดว่าว่าอนาคตฉันต้องมีแบบนี้ ขนาดนี้นะ เหนื่อย !!! เราจะเหนื่อยนะ เหนื่อยกับความฝันที่มันอยู่ไกลเหลือเกิน และเป้าที่มันสูง เป้ามีไว้พุ่งชนใช่ไหม? แต่ละคนจะตั้งไว้สูงมาก ฉะนั้นทำไปเถอะ ทำไปเรื่อยๆ และอะไรๆ จะตามมาเอง จากร้านของเรา เพียงคูหาเดียว เพิ่มเป็น 2 คูหา จากซ้ายไปขวา ขยับเพิ่มไปเรื่อยๆ

“ตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งเรามองว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของบุญด้วย เชื่อว่ามีเหตุการณ์ต่างๆ ที่รอดมาได้ วิกฤตที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อนะ แต่ก็ต้องเชื่อเพราะอยู่ดีๆ มีคนไม่รู้จักมานั่งรอซื้อเหล็กเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท เป็นไปได้อย่างไร ไม่รู้จักเขาเลยมาจากจังหวัดร้อยเอ็ด เขาบอกว่ามีคนแนะนำมา จนเรางง และจะมาซื้ออะไรเพราะร้านเราก็ไม่ใช่ร้านใหญ่ เขาบอกมีคนแนะนำมาจากโคราชให้มาซื้อเหล็กที่นี่ มานั่งรอเราเป็นวันๆ มาง้อซื้อของ ลูกสาวเขาเรียนที่เอแบคใช้ลูกมานั่งคอยเรา มีอะไรที่ไม่คาดคิดหลายเรื่อง รายนี้เขากลัวเราจะไม่เชื่อถืออุตส่าห์โอนเงินมาให้ก่อนเลย สมัยก่อนไม่มีระบบไลน์ เป็นเครื่องแฟกซ์ เขาส่งแฟกซ์ใบ pay in (ใบสั่งซื้อ) เข้ามา ตรวจสอบกับธนาคารก่อนเลยว่าใช่หรือเปล่า

“เพราะมิจฉาชีพเยอะ เรื่องแบบนี้เราเคยโดนหลอกมาแล้วยิ่งกังวล กลัวไม่ใช่ของแท้ เงินสดหรือเปล่าที่โอนมา ไม่มั่นใจจนธนาคารแจ้งว่าเงินโอนเข้ามาแล้วจริงๆ เรารีบโยกเงินออกมาเลยเพราะกลัว เกิดความกังวลอีก เพราะมีบางรายบอกโอนผิด ถามตัวเองว่าเป็นไปได้หรือเงิน 10 ล้านบาทมาซื้อของร้านเราซึ่งออฟฟิศยังเล็กอยู่เลยเขาจะไปซื้อโรงงานก็ได้ จากนั้นมาเราก็ขยายร้านมาเรื่อยๆ ร้านฮาร์ดแวร์ เกิดขึ้นได้เพราะตอนนั้นมีแต่ร้านเหล็กร้านเดียว พอมีลูกค้ามาถามหาซื้อใบตัด ลวดเชื่อม สีทาเหล็ก จากนั้นก็บานปลายขยายเป็นร้านขายฮาร์ดแวร์เลย เพราะเราคิดต่อยอดสินค้าอีกจำนวนนับแสนชิ้น จากที่ไม่รู้จักสินค้าบางอย่างเลยเราก็ต้องเรียนรู้เอง นั่งขายอยู่หน้าร้าน3 ปีเต็มเพื่อศึกษาและวางระบบ เริ่มใช้รหัสสินค้า เพราะของเยอะขึ้น จะจัดการสต็อกสินค้าอย่างไร ขายแบบไหน เขียนบิลด้วยลายมือคงไม่ทัน จัดวางระบบเป็นรหัสสินค้าเข้าไปตั้งแต่สินค้าชิ้นแรก

“และสิ่งที่เราวางระบบไว้นั้น ไม่ว่าสินค้าจะมากน้อยอย่างไร หากวางระบบไว้ดีก็จะเดินไปตามระบบ เราไม่จำเป็นต้องนั่งขายเองแล้ว ราคามีไว้ให้พนักงานดู ราคา a b c ถ้าลูกค้าต่อราคาสินค้า กี่ชิ้นลดได้เท่าไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำระบบไว้แบบชนิดข้ามวันข้ามคืน เป็นคนมีความคิดต่อยอดไปเรื่อย จินตนาการสูง คิดการณ์ไกล ไม่ใช่คิดจะรวย แต่คิดว่าถ้ามีปัญหาแล้วจะรองรับอย่างไร หันมามองธุรกิจร้านสะดวกซื้อของบริษัทใหญ่ๆ ทำไมเขาไม่ต้องมานั่งขายของเองเลย และเปิดไปทั่วโลก ไม่ต้องกังวลว่าลูกน้องจะโกง เพราะถ้าเราไม่ทำเองก่อนเราก็จะไม่รู้สินค้าทุกตัว เด็กลูกจ้างมาใหม่ถามทำไม เจ๊รู้ราคาทุกอย่าง จะไม่ให้รู้ได้อย่างไรทำเองมากับมือทุกตัว เด็กรุ่นใหม่จะไม่รู้ว่าเราทำมาขนาดไหน แต่คนเก่าจะรู้ การที่เราจะทำงานเองก็ต้องมีการพัฒนาตัวเองตลอด พัฒนาสมองด้วย และต้องรู้ให้จริง ช่วงนั้นรู้แต่ว่าต้องทำเพื่อใช้หนี้เขา พอหนี้หมดยังงงอยู่เลย จากที่ติดลบมา 16 ล้านบาท สินค้า ณ. ตอนนี้มีมูลค่าเท่าไหร่เกือบ 20 ล้านบาท เรียกว่าสินค้าแปลงมาเป็นทุนโดยที่เราไม่ได้มีหนี้อะไรแล้ว”

 

//ข้อคิด “ควรมีความพอดี”

“ย้อนกลับไปคิดว่าเราผ่านปัญหามาได้อย่างไร ก็รู้สึกดีใจที่วันนั้นเราคิดถูก ที่สู้กับปัญหา และต้องขยันจริงๆ เป็นเจ้านายหรือเถ้าแก่ ต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง จะขี้เกียจไม่ได้ มาถึงจุดนี้ คิดว่าทำไมเราไม่กลับไปทำเหมือนเดิมอีก ซึ่งมันเหนื่อยเราควรพอได้ มีความพอดี มีคนบอกไม่ขายของเอง ไม่กลัวลูกน้องโกงหรือ ถ้าเขาจะเอาคงมีบ้างแต่คงไม่เอาทั้งหมดหรอก แต่เรามีระบบการตรวจสอบของเราอยู่แล้วและปลูกจิตสำนึกให้ลูกน้อง ซึ่งเราไม่ได้เอาเปรียบพวกเขา ตรงไปตรงมา ความซื่อสัตย์ คุณทำงานผลงานดีก็ได้รับการขึ้นเงินเดือน และมีโบนัส แลกเปลี่ยนกัน เราไม่ได้คิดว่าลูกน้องเป็นทาส เราซื้อแรงงานเขา เขาทำงานให้เรา จะปกครองแบบไม่มีการกดขี่

“ถ้าทำงานล่วงเวลาก็จ่ายโอที ผลกำไรมากหรือน้อยเราจะจ่ายเงินโบนัสให้ลูกน้องทุกปี ถือว่าใน 1 ปีที่ผ่านมาเหนื่อยแล้ว จะมีกำไรหรือขาดทุนก็ให้เงินโบนัสพวกเขา ขึ้นเงินเดือนให้เป็นหลักพันบาท ซึ่งคิดว่าที่เรามีได้ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะเราเองอย่างเดียว ถ้าไม่มีมือซ้ายมือขวา คนเหล่านี้ เราก็ไม่มีวันนี้เหมือนกัน และเราก็จะถ่ายทอดความคิดของเราส่งต่อให้ใครต่อไป ก็มองว่า น้องสาว หรือผู้จัดการ(เอส สยาม อิ่มลา) ถ่ายทอดการบริหารต่อๆ ไป เพราะเป็นรูปแบบมาอยู่แล้วแค่ทำอย่างไรให้เป้าที่วางไว้ได้ตามนั้น เราแค่ตีกรอบไว้ให้ อย่าเดินนอกออกไปแค่นั้นเอง เราไม่ต้องคิดอะไรเยอะไม่ต้องโลภมากด้วย เดี๋ยวมันจะมาเอง ทุกวันนี้อยู่ในจุดที่หากถามว่า สบายไหม ยังหรอกอีกเยอะ มีคนบอกอายุเท่านี้เองเริ่มปล่อยวางแล้ว จะรอให้แก่แล้วค่อยไปเดินทำบุญไม่เอานะ มาเข็นรถให้เรานั่งแล้วพาไปทำบุญไม่เอาหรอก”

 

//แม่เลี้ยง “ผู้ใจบุญ”

นอกจากนี้ เธอยังมีธุรกิจ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า มีที่ดินให้เช่า บ้านให้เช่า อาคารพาณิชย์ให้เช่า “ตรงนี้เราเก็บเล็กผสมน้อยมาเรื่อยๆ ซื้อจากหลุดกองบังคับคดีมาบ้างหรือมีคนแนะนำมาบ้าง เมื่อปีที่ผ่านมา เริ่มทำธุรกิจสวนส้ม  เนื่องจากมีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยว ไปทำบุญ ปฏิบัติธรรม ไปอยู่ตามวัด ตามต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ และบังเอิญเพื่อนชวนไปเที่ยวที่ฝาง คือ เพื่อนจะหลอกพาไปซื้อสวนส้มแต่เราไม่รู้ ตอนแรกไม่ได้คิดจะซื้อ แต่พอเราเดินเล่นในสวนส้ม ซึ่งเป็นธรรมชาติมาก และรู้สึกได้ว่าเหมือนเราเคยสัมผัสมาก่อน หายใจได้เต็มปอด อากาศดีมาก อากาศเย็นตลอด กลางคืนจะหนาว เป็นพื้นที่ติดเชียงราย ติดกับดอยแม่สะลอง เดินไปมาไม่นาน วันนั้นก็ตัดสินใจซื้อเลย เป็นคนคิดเร็วทำเร็วไม่ใช่จะดีทุกคนนะ อย่าเอาไปเป็นตัวอย่างนะ(หัวเราะ) อะไรที่ดีก็เอาไป ของแบบนี้ก๊อปปี้กันไม่ได้ กล้าได้กล้าเสีย เราจะรู้ตัวเองว่ามีขนาดไหน เงินไม่ได้มีเยอะและไม่อยากเป็นหนี้ธนาคาร บอกว่าซื้อแต่ขอผ่อนเขา ทุกวันนี้เวลาเดินสำรวจสวนส้ม จะเหมือนฝัน มีความสุขมาก

 “ที่นั่นมีแค่ 3 อำเภอที่สามารถปลูกได้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและน้ำต้องสมบูรณ์ ซึ่งสถานที่นี้มีตาน้ำอุดมสมบูรณ์ แต่คนที่ทำส้มเขาเจ๊งกันเพราะมีโรคเชื้อรา ร่วงหมด จึงมีการคิดค้นหาวิธีป้องกัน แต่ชาวบ้านที่ทำสวนส้มไม่ค่อยจะมีทุน เพราะมีค่าใช้จ่าย ยิ่งกว่าดูแลเด็กอ่อนอีก ต้องดูแลให้ดีมากๆ จนมีคนกล่าวขานว่า คิดอย่างไรไปทำสวนส้มยิ่งกว่าเลี้ยงเด็กอีก แต่เราคิดว่า คนเขาไม่ทำยิ่งดี จะไปทำในสิ่งที่คนเขาทำกันเยอะๆทำไม เพราะถ้าทำกันเยอะราคาก็จะตก เราต้องเป็นผู้เริ่มก่อน อะไรที่เขาไม่ทำยิ่งยากยิ่งดี ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ เพราะที่ผ่านมาเวลาไหว้เจ้าที่เราจะซื้อส้มมาไหว้ ทำไมส้มแพงก็รู้ว่าเจอวิกฤตมาเยอะ ส้มตอนนี้ราคาเท่าไร 100 กว่าบาทต่อกิโลแล้ว จากสมัยก่อน กิโลละ 20 บาท มีเหลือกิโลละ 8 บาทยังมีเลย เดี๋ยวนี้กิโลละ 120 บาทถึง 140 บาทแล้ว สวนส้มของเราอยู่ใกล้สวนผู้นำตลาด ไปดูงานของเขา ก็บอกตัวเองว่า ในเมื่อเขาทำได้เราก็ทำได้ ลำบากเกินความสามารถกว่านี้เราก็เคยทำมาแล้ว อย่างหนึ่งคือ ทดสอบตัวเองว่ายังเดินดินเป็นไหม ทดสอบจิตใจตัวเองว่าเราหลงโลภไปกับอะไรต่างๆ หรือเปล่า เรากลับมายืนจุดเดิมได้ไหม ทำอะไรก็แล้วแต่อย่าลืมตัว ไม่ว่าจะอยู่จุดไหน เราจะเดินดินเหมือนเดิมได้ไหม

“เมื่อก่อนที่บ้านก็เคยทำเกษตรกรรม เลี้ยงปลา แม้ไม่ได้คลุกคลีมากมายแต่เราก็เริ่มจากจุดนั้นมาก่อน รู้สึกว่าทำได้ ใส่รองเท้าบูท ใส่หมวก ไม่มีแอร์ นั่งอยู่ได้เป็นวันๆจนคนงานยอม บอกว่าไม่คิดว่าเราจะทำได้ คือคนเราถ้าใจไม่ไปและไม่มีความสุขกับสิ่งนั้นทำไม่ได้นะ มานั่งคิดว่าตัวเองทำได้อย่างไร จาก 10 ไร่ ซื้อเพิ่มขึ้นอีก 100 กว่าไร่ กลายเป็นอุตสาหกรรมเล็กของตัวเองแล้ว แต่เหนื่อยนะทุกอย่างของการเริ่มต้น ไม่ว่าชีวิตหรือเรื่องงาน การเริ่มต้นเป็นเรื่องที่เหนื่อย แม้เราไม่ค่อยอยากจะเริ่มต้นแล้วแต่สิ่งที่เราทำ สามารถทำให้คนมีงานทำ ช่วยเหลือคนอื่นได้ คนงานรู้จักทำมาหากินด้วยตัวเองแลกกับแรงงาน บ้านเมืองเราเดี๋ยวนี้เศรษฐกิจแย่นะ ขโมยหรือยาเสพติด คนเราขี้เกียจเยอะ ทำอะไรก็ได้หาเงินมาด้วยวิธีง่ายๆ ขายยาเสพติดคิดแบบสั้นๆ และคนส่วนใหญ่ก็เลี้ยงลูกกันมาแบบผิดๆ ประเภทพ่อแม่รังแกฉัน ใช้เงินเลี้ยงบ้างทุกอย่าง เดี๋ยวนี้พ่อแม่ทำให้ลูกหมดทำให้ลูกเคยตัว ลูกชายเราไปช่วยงานวัดไม่ได้เลี้ยงลูกแบบคุณหนูนะ ใช้หัวหกก้นขวิดเลย ความขยันนี้ก็จะติดตัวเขามา เหมือนที่เราเคยถูกเลี้ยงดูมา เห็นใครทำอะไรจะรีบเข้าไปช่วย ขึ้นอยู่กับเราปลูกฝัง เราเลี้ยงลูกไม่ได้ให้เขาสบายมาก ให้รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา จนตอนนี้เคยคิดว่าตอนฉันแย่จะส่งลูกเรียนอะไร ไปอยู่โรงเรียนวัดเพราะเงินไม่มี

“ทุกวันนี้ไม่คิดว่าจะสามารถส่งลูกเรียนที่ประเทศอังกฤษได้ส่งไปแล้วลูกชายคนโต อีกสองคนกำลังจะตามไป เพราะเริ่มจะมีธุรกิจที่นั่นด้วย  เห็นอะไรก็อยากจะต่อยอดไปหมด สมองไม่หยุดคอยสั่งการตลอด สิ่งสำคัญเราไม่ได้มุ่งหวังผลประโยชน์อยู่ที่ตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่เราอยากจะช่วยเหลือให้คนเขามีงานทำ คือ หัวใจ ทำไปโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนด้วยเงินเสมอไปนะ เป็นความสุขที่ ถามว่าหาซื้อได้ไหม แต่เราต้องรู้ตัวเองว่าทำแล้วมีความสุขจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย เพราะเป็นสิ่งที่ได้สร้างงานสร้างอาชีพให้คน เรามีลูกน้อง 1 คน นับต่อไปอีก 3 คนคือ พ่อแม่ลูกเขาครอบครัวเขา มีลูกน้อง 30 คนเท่ากับมีคน 300 ชีวิต จริงหรือไม่บอกกับลูกน้องว่า เมื่อมีปัญหาก็ต้องมาหาเจ๊ แต่เราก็ปลูกฝังให้เขาช่วยเหลือตัวเอง ใช้จ่ายอะไรอย่าให้เกินกำลังของตัวเอง มีรายได้ 300 บาทต่อวันปัจจุบันนี้เฉพาะตัวเองก็แทบจะใช้หมดแล้ว

“ยังมีค่าเช่าบ้าน ค่าเลี้ยงดูลูก ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ หากไม่รู้จักการอยู่แบบพอเพียง ชีวิตคุณก็ติดลบแล้ว แล้วก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เป็นภาระที่ต้องใช้เขา และเมื่อติดลบไปเรื่อยๆ ก็ต้องไปเบียดเบียนคนอื่นอีก เป็นแนวคิดง่ายๆ เลย คนไทยเราแปลกอยู่อย่างหนึ่งชอบตามกระแส ไม่มีก็ผ่อน ไม่มีก็ทำอย่างไรก็ได้ให้ฉันมี มีไว้ก่อน คนไทยบ้านหลังหนึ่งมีรถยนต์จำนวนกี่คัน ไม่ต้องบ้านใครของเราเองก็ 4-5 คัน ที่ประเทศอังกฤษนะ เขาจะใช้รถสาธารณะมากกว่าใช้รถยนต์ส่วนตัว คือระเบียบกฎเกณฑ์ของประเทศเขา มีการปลูกฝังกันมาดีมาก”

ก่อนจบการสนทนาครั้งนี้ “พอลล่า” ปิยพร ตันติกรกุล ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดดีๆ “ตอนนี้เราต้องค้นหาตัวเองให้เจอก่อน อันดับแรกต้องคิดว่าตัวเราเองมีกิเลสตรงไหน เรามีความอยากได้ อยากมีอยู่ไหม และเราอยากได้อยากมีไปเพื่ออะไร สนองตัณหาตนเองหรือทำเพื่อคนอื่น หรือเพื่อที่เราจะมีแข่งกับใคร แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาได้ทดสอบตัวเองอยู่ตลอด เราไปเที่ยวที่ไหนสังเกตไหมว่าเรามักจะ ช้อปปิ้ง ช้อปกระจาย และเราไปเที่ยวประเทศไหนไกด์จะรู้เลยว่าเจ๊จัดหนัก น้ำหนักกระเป๋าต้องเผื่อไว้ให้เลย น้ำหนักเกินตลอด ต้องเอาน้ำหนักคนอื่นมาแชร์ ไปประเทศอังกฤษ จะมี กระเป๋าหลุยส์ต้องหิ้วมา ครั้งแรกไปจะซื้อ พอต่อมาภายหลังที่เดินไปเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากได้อะไรแล้ว เป็นไปเองตามธรรมชาติ เมื่อซื้อมาส่วนใหญ่ก็เอามากองไว้ คิดว่าซื้อมาทำไม แต่ตอนเห็นครั้งแรก ความอยากและกิเลสของเรา อยากซื้อ เชื่อว่าทุกคนต้องเป็นแบบนี้ แต่เดี๋ยวถ้าซื้อจะไปให้ใครดี ไม่คิดถึงตัวเองเลย อยากแบ่งปันเรารู้สึกว่ามีความสุขกับการให้มากกว่าการรับ รู้สึกว่าการให้ของเราถ้าคนรับเขาดีใจเราจะมีความสุข สำหรับตัวเองซื้อของให้คนอื่นจะหรูหรา สำหรับตัวเองใช้ของธรรมดา คือเรามีทุกอย่างแล้ว และเข้าใจคำว่าพอและค่อยๆ ทดสอบตัวเองมาเรื่อยๆ อะไรก็ได้สำหรับตัวเราง่ายที่สุดแล้ว จนในที่สุดพักหลังเราจะไม่ซื้ออะไรเลย เหมือนจะปล่อยวางก็ว่าได้ หรือเรียกว่ารู้จักคำว่าพอ เก็บไว้ดีกว่า เอาไปทำบุญบ้าง

“ไปทำสวนส้มมีคนเลี้ยงว่าแม่เลี้ยงพอลล่า(หัวเราะ) เราก็เอาเสื้อผ้าที่รวบรวมกันมาไปแจกเรื่อยๆ เพราะที่นั่นความเจริญเหมือนย้อนหลังไปอีก 20 ปี ไฟฟ้าไม่มีใช้อยู่บนดอย เห็นภาพแล้วภูมิใจทุกครั้งที่ไปแจกเสื้อผ้าชาวบ้านจะนำมาสวมใส่กันเลย บ้านเรายังมีคนยากไร้อีกจำนวนมาก แต่ความช่วยเหลือยังจะเข้าไปถึงเขาเหล่านั้นหรือเปล่า เคยไปทำขนมจีนน้ำยาให้พวกเขากิน มีความสุขมาก ครั้งหนึ่งได้ทำให้เขากิน และไม่รู้โอกาสแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ขอสักครั้งให้คนเหล่านี้ได้ลองกินขนมจีนน้ำยาของเรา คนเราชีวิตไม่แน่นอนหรอก บางทีวันนี้อยู่แบบนี้อีกวันเราอาจต้องไปขอข้าวคนอื่นเขากินบ้างก็ได้ สิ่งที่ติดตัวเราได้ไปตลอดก็คือ บุญ ไม่ว่าจะตายไปหรือมีชีวิตอยู่ ภพนี้หรือภพหน้า ทรัพย์สินต่างๆ เรานำไปไม่ได้นอกจากบุญ”

ธรรมะเปลี่ยนชีวิต

ที่ผ่านมาคุณพอลล่า ได้อุทิศชีวิตในการทุ่มเทให้กับพระพุทธศาสนาด้วยการทำบุญให้กับ สวนป่าทิพย์มงคลแสงธรรม อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี โดยมีหลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ ประธานวัดถ้ำเสือวิปัสสนา จ.กระบี่ เป็นผู้อุปถัมภ์สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้  ปัจจุบันกำลังดำเนินการงานก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรม เพื่อสร้างปัญญาและสันติสุข  ระหว่างวันที่ 25-26 กรกฏาคม 2558 ขอเชิญพุทธศาสนิกชนร่วมกันทอดผ้าป่าสามัคคี  ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญในครั้งนี้ ผ่านธนาคาร ธนาคาร กสิกรไทย สาขา ราชบุรี ชื่อบัญชี สวนป่าทิพย์(หลวงพ่อวิฑูรย์ อาจารสุโภ และณัญย์ฐิกา แสงสุขเอี่ยม เลขที่ 447-2-33278-9 บัญชี ออมทรัพย์  หรือติดต่อสอบถามได้ที่ คุณแม่ณัญย์ฐิกา (สิริอร) แสงสุขเอี่ยม โทรศัพท์ 08-1819-3673  หรือเว็บไซต์ www.suanpatip.com  อีเมล์ : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.