จากอาชีพ “ขายน้ำ” สู่ “ส่งออกพันล้าน” "เสี่ยไฮเทค"นิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร กรรมการบริหารบริษัท ไฮ-เทค แอพพาเรล จำกัด นายกสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย

จากอาชีพ “ขายน้ำ” สู่ “ส่งออกพันล้าน” "เสี่ยไฮเทค"นิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร กรรมการบริหารบริษัท ไฮ-เทค แอพพาเรล จำกัด นายกสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย

 

 

 

 

 

จากอาชีพ “ขายน้ำ” สู่ “ส่งออกพันล้าน”

"เสี่ยไฮเทค"นิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร กรรมการบริหารบริษัท ไฮ-เทค แอพพาเรล จำกัด นายกสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย 

 

 

 

 

ชีวิตหนอชีวิต ทำไมเราไม่รวยหรือประสบความสำเร็จเหมือนกับคนอื่นเค้าสักที? นี่คงเป็นอีกหนึ่งคำถามที่ยังดังก้องอยู่ในห้วงลึกของหัวใจของใครหลายต่อหลายคน ว่าทำไมชีวิตถึงเป็นเช่นนี้หนอ...ก็อย่าพึ่งท้อกันไปก่อนล่ะครับท่านผู้อ่าน เพราะชีวิตคือการต่อสู้ ซักวันหนึ่งต้องเป็นของเรา เฉกเช่นชายธรรมดาที่ไม่ธรรมดาประจำอาทิตย์นี้ กับวิถีชีวิตที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการเช่นเดียวกัน เค้ามีเพียงแค่ตัวเองและความอดทนเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง และคอยเป็นกำลังหลัก  จนขับเคลื่อนตัวเอง จาก “เด็กขายน้ำ” มาสู่ “เจ้าของกิจการส่งออกพันล้าน” คุณผู้อ่านคงอยากจะรู้กันแล้วล่ะสิครับว่าชายผู้นี้เค้าเป็นใคร....เค้าผู้นี้ก็คือ...คุณนิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร หรือชื่อที่รู้จักกันในวงการนักธุรกิจว่า เสี่ยไฮเทค นั่นเองล่ะครับ

 

จากชีวิตครอบครัวที่มีฐานะแค่พอมีกินกับเหล่าพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันถึง 7 คน ซึ่งคุณนิพนธ์ก็เป็นลูกชายคนที่ 6 ในจำนวนนั้น พ่อและแม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ซึ่งก็กว่า 70 ปีแล้วที่คุณพ่อได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองไทยในย่านชุมชนยศเส กรุงเทพฯ นี่เอง ช่วงนั้นครอบครัวก็เข้ามาประกอบอาชีพค้าขายตามแบบคนจีน  แต่สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยไม่ค่อยสู้ดีนักเพราะมีแหล่งอบายมุขมากพอควรในช่วงนั้น แต่ก็โชคดีที่พ่อและแม่ของครอบครัวคุณนิพนธ์นั้นท่านได้ใส่ใจในเรื่องพวกนี้มาก โดยท่านก็ได้อบรมปลูกฝัง ได้ส่งเสริมให้ได้เล่าเรียน และให้ได้เล่นกีฬา และอีกอย่างที่ถือเป็นความโชคดีในช่วงนั้นก็คือคุณนิพนธ์เองก็ได้ทำงานไปด้วย ซึ่งก็ทำให้เวลานั้นได้หมดไปกับการเรียนและทำงานโดยปริยาย

 

ซึ่งในช่วงนั้นเองคุณนิพนธ์ได้ไปทำงานเป็นเด็กขายน้ำที่สนามมวยราชดำเนินจากการแนะนำของเพื่อนๆ ข้างบ้าน ซึ่งท่านก็ตั้งใจทำงานชิ้นนั้นให้ดีที่สุด เพราะนั่นเป็นความภาคภูมิใจสิ่งแรกเลยก็ว่าได้ เพราะนั่นถือเป็นรายได้ที่ส่งตัวเองเรียนในช่วงมัธยมด้วย ต่อมาคุณนิพนธ์ก็ได้เป็นคนคุมเด็กขายของภายในสนามมวย ซึ่งต้องคุมเด็กเป็นร้อยๆ คนทีเดียว ซึ่งช่วงนั้นก็มีรายได้ประมาณวันละ 70 บาท และนั่นก็ทำให้เค้าคนนี้ได้รู้ค่าของเงินจริงๆ ว่ามันมีค่าแค่ไหน เพราะต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายของตัวเอง....

 

ต่อมาหลังจากเรียนชั้นมัธยมจากโรงเรียนศึกษาวัฒนาจบแล้ว คุณนิพนธ์ก็ได้เข้าเรียนต่อในระดับ ปวช. ที่วิทยาลัยพาณิชยาการเชตุพน สาขาบัญชี เมื่อได้เรียนจบก็ได้เริ่มเข้ามาทำงานประจำในตำแหน่งคนส่งเอกสาร ด้วยความเป็นคนที่ไม่เกี่ยงงาน และคิดเสมอว่า “งานทุกงานย่อมให้ความรู้กับเราได้หมด” แม้ว่าตัวเองจะเรียนไม่ได้สูงอะไร แต่ก็ด้วยเป็นคนที่คอยใฝ่ศึกษาหาความรู้เสมอไม่ว่าจะเป็นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากตำรับตำราบ้าง หรือไม่ว่าจะเป็นจากการสอบถามจากเพื่อนร่วมงาน หรือเหล่าคนที่พอจะให้คำปรึกษาหรือชี้แนะได้ซึ่งก็ค่อยๆ เรียนรู้ค่อยๆ เก็บเกี่ยวมาตลอด บวกกับความขยัน ซื่อสัตย์ และรับผิดชอบ เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งงานส่งเอกสารนี้คุณนิพนธ์ก็ได้ทำอยู่ปีเดียวก็ได้เลื่อนลำดับขึ้นไปทำงานด้านเอกสารการส่งออกของบริษัท ซึ่งช่วงนั้นก็โชคดีทีเดียวมีหลายๆ บริษัทที่เข้ามาเสนออยากจะให้เข้าไปทำงานด้วย แต่ด้วยความเป็นคนกตัญญูรู้คุณคนด้วยความตระหนักดีว่า บริษัทที่เราทำอยู่เค้าก็มีบุญคุณกับเรามาก อย่างไรเสียเราก็ต้องตอบแทนบุญคุณเค้าก่อน...

 

และจากจุดนี้เองจึงทำให้คุณนิพนธ์ได้รู้จักประโยชน์ของการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด โดยวันหนึ่งๆ นั้นท่านเลือกที่จะทำงานอย่างน้อยถึง 18 ชั่วโมงเลยทีเดียว โดยกลางวันก็ทำงานที่บริษัทเดิม ส่วนกลางคืนนั้นก็ทำงานเป็นไซต์ไลน์หลายๆ ที่ คุณนิพนธ์บอกไว้ว่า นี่ล่ะเคล็ดลับของคนที่จะมีเงิน คือต้องเอาเวลาที่ใช้เงินมาหาเงินซะ

 

และหลังจากนั้นไม่นานเมื่อกว่า 15 ปีที่แล้ว ท่านก็ได้เริ่มต้นร่วมทุนกันกับเพื่อนอีก 3 คน เปิดบริษัทไฮ-เทค จำกัดขึ้น ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้สั่งสมความชำนาญในสายงานที่คุณนิพนธ์นั้นทำมาตลอด ซึ่งช่วงแรกๆ มีคนงานไม่ถึง 10 คน การบริหารงานก็มีปัญหาบ้าง แต่ด้วยอานิสงค์ที่ท่านเป็นคนที่กตัญญูคน เถ้าแก่เก่าก็ช่วยเหลือให้รอดพ้นปัญหาต่างๆ เหล่านั้นมาได้ จนถึงทุกวันนี้บริษัทไฮ-เทค มีคนงานกว่า 5000 คน มียอดขายส่งออกกว่าหลายพันล้านบาทต่อปี...

 

คุณนิพนธ์ยังให้แง่คิดดีๆ ไว้ด้วยว่า ถ้าคนเราขยันแล้วไม่มีวันอดตาย อย่าไปรอโอกาส รอโชคลาภที่ไหน เราต้องขยัน ซื่อสัตย์ และรู้จักกตัญญู เมื่อเราพออยู่พอกินแล้ว ต้องตอบแทนบุญคุณคน ตอบแทนให้สังคม ตามกำลังที่เรามี ถ้ารู้จักที่จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้ชีวิตของเรารุ่งเรือง…

 

และยังให้ข้อคิดอีกว่า ถึงแม้ผมเรียนจบแค่ ปวช. ถือว่าเป็นคนมีความรู้น้อย เป็นคนมีปมด้อย แต่ผมคิดว่าคนที่มีปมด้วยถ้ารู้จักที่จะพยายามมากกว่าคนอื่นๆ เป็นเท่าตัว ก็สามารถประสบความสำเร็จได้

 

และนี่คงเป็นบทพิสูจน์ได้ว่า คนเราไม่ว่าจะทำงานการอะไร ถ้ารู้จักที่จะเรียนรู้และเก็บเกี่ยวสิ่งที่เป็นประโยชน์จากที่เราได้ทำแล้วไซร้ ด้วยความอดทน ขยัน ซื่อสัตย์ และรู้บุญคุณคนแล้ว ความสำเร็จที่หวังในชีวิตก็คงรอเราอยู่เบื้องหน้าแล้วล่ะครับ....

 

 

 

 

 

 

 

 

แหล่งข้อมูล:  http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=130037&NewsType=1&Template=1

 

เรียบเรียงโดย:  สมภาร ประกิ่ง  E-mail:This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.