อดีตดาวสภาอยู่ในโลกมืด! ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ “อุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน”

อดีตดาวสภาอยู่ในโลกมืด! ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ “อุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน”

 

 

CHANGE  Inspiration   เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง  ภาพ : ชวกรณ์  สะอาดเอี่ยม

 

อดีตดาวสภาอยู่ในโลกมืด!

ปิยะณัฐ วัชราภรณ์  “อุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน”

 

 

หลังจากประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงทำให้ทุกวันนี้ดวงตาทั้งสองข้างไม่ต่างจากการบอดสนิท นับเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งใหญ่แต่อุดมการณ์ที่ยังมั่นคงเสมอมาคือต้องการทำงานให้กับสังคมตลอดไป  แต่อุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน

 

 

อดีตดาวสภาที่เคยโด่งดัง ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ศรีสะเกษ อดีตรัฐมนตรี

หลายสมัย และอดีตรองหัวหน้าพรรคเอกภาพเจ้าของวลีทางการเมือง “เก็บอุดมการณ์ใส่ลิ้นชัก” และเป็นนักการเมืองที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการพูด จนได้รับฉายา “ดาวสภา” วันนี้นิตยสาร เชนจ์ อินทู ได้มาย้อนและติดตามชีวิตที่ห่างหายจากการเมืองเกือบ 20  ปี ณ บ้านพักย่านรามอินทรา

 

พิการ คือ จุดเปลี่ยนชีวิต

คุณปิยะณัฐประสบอุบัติเหตุรถยนต์เสียหลักชนต้นไม้บนถนนมิตรภาพ ระหว่าง จ.สระบุรี และนครราชสีมา เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2540หลังเดินทางจากสนามบินเพื่อไปเปิดห้องสมุดให้กับโรงเรียนขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ในวันนั้นจำได้ว่าเพิ่งอ่านข่าวเจ้าหญิงไดอานา แห่งเวลส์อดีตพระชายาเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมาร

แห่งอังกฤษ สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุรถยนต์ชนกำแพงอุโมงค์ลอดแม่น้ำเซน กลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยพระชนมายุเพียง 36 พรรษา พร้อมด้วย นายโดดี อัล ฟาเยด พระสหาย และคนขับรถ โดยไม่คิดว่าจะเป็นลางร้ายกับตัวเอง  จากอุบัติเหตุในครั้งนั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก แต่คุณปิยะณัฐยังคงเดินทางปฏิบัติหน้าที่ แม้สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยในที่สุดต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีใน

เดือนตุลาคมของปีเดียวกัน คงเหลือแต่หน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปัจจุบันเขาใช้ชีวิต ส่วนตัวอยู่บ้านพักย่านรามอินทรา และยังไปช่วยงานชาว จ.ศรีสะเกษ เหมือนเมื่อครั้งยังเป็น ส.ส.

 

“จากวันเกิดเหตุจนถึงวันนี้ก็เกือบ 20 ปีแล้ว สายตาของผมก็ยังเบลอๆ มองเห็นแค่เงาๆ ปัญหาใหญ่คืออ่านหนังสือไม่ได้ ต้องมีผู้ช่วย เพราะเวลาที่ทำคดีก็จะมีปัญหาบ้าง สมัยก่อน ผมทำงานได้เร็วมาก เดี๋ยวนี้ลำบาก ต้องอาศัยคน เครื่องมือสื่อสาร โดยเฉพาะเทป ทุกวันนี้ก็ยังออกไปทำงานให้กับชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือ มีตั้งแต่คดีเล็กจนถึงคดีใหญ่ ชาวบ้านเดือดร้อน หาใครช่วยไม่ได้ ทุกคนก็จะนึกถึงผม (หัวเราะ) ชาวบ้านยังมองว่าผมเป็นคนปกติและยังสามารถช่วยเหลือเขาได้อยู่ ไล่ให้ไปหา ส.ส. เขาก็บอกว่าไม่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นความผูกพันกับชาวบ้านมาตั้งแต่แรก ผมเคยสัญญากับชาวบ้านเอาไว้ว่าจะเป็นที่พึ่งให้กับพวกเขา มันจึงยกเลิกสัญญานี้ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นความผิดของชาวบ้าน”

 

นึกคำสอน “หลวงพ่อคูณ”

คุณปิยะณัฐพาย้อนเวลาไปถึงเหตุการณ์ที่ชีวิตต้องกลายเป็นคนพิการอย่างไม่มีวันลืม “ชีวิตผมที่ต้องมาเกิดอุบัติเหตุตรงนี้มาจากความประมาท เหตุการณ์ครั้งนั้นจะไม่เกิดขึ้นถ้าผมยอมขัดใจไม่เปลี่ยนคนขับรถ มันเป็นเรื่องของผมที่ตามใจทุกคน จำได้ว่าผมไปงานที่ อสมท จัดรายการช่วยเหลือชาวบ้านที่น้ำท่วม อยู่จนดึก พอเช้ามีงานที่ จ.ศรีสะเกษ ก็นั่งเครื่องบินไป แล้วผมเป็นรัฐมนตรีจะสามารถใช้รถตำรวจนำได้ แล้ววันนั้นผมเอารถส่วนตัวโดยมี ส.จ. ช่วยขับมาให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้มีรถนำแต่ให้รถนำมารออยู่ที่สระบุรี เพราะตอนเย็นต้องเข้าไปรายงานต่อนายกรัฐมนตรีที่โรงแรมในกรุงเทพฯ ทำให้กลัวรถติด พอไม่มีรถนำเลยเกิดอุบัติเหตุ เจ้าของรถก็ถูกคนอื่นมาแย่งขับที่สีคิ้ว จากสีคิ้วมาสระบุรีก็ประมาณร้อยกิโลเมตร  ผมย้ำว่าไม่ต้องขับเร็ว ด้วยความที่ผมอดนอน จึงหลับมาในรถ ไม่รู้เรื่องเลยจนมาเกิดเหตุรู้ตอนหลังว่าคนขับขับเร็วมาก เป็นจังหวะเดียวกับที่รถบรรทุกปูนขับออกมาจากแก่งคอย แล้วยูเทิร์นขวางถนนพอดี ซึ่งไม่มีทางหลบไปไหนได้เลยเป็นความพอดีบวกกับความประมาทจนเกิดเหตุ แต่ก็ไม่ได้น้อยใจหรือเสียใจ เพราะมันไม่มีอะไรดีขึ้น

 

“ตั้งแต่เกิดเหตุผมเลยมีความเชื่อในเรื่องพระลงไปหน่อย (หัวเราะ) แต่ผมอยากสรุปให้ฟังว่า ความประมาทเป็นหนทางสู่ความพินาศ ตามที่พระพุทธเจ้าให้ดำเนินชีวิตไปโดยไม่ประมาท เมื่อก่อนผมทำงานด้วยความ

สุจริต และคิดว่าความสุจริตจะคุ้มครองผมได้พอมาเจอแบบนี้มันก็ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว(หัวเราะ) มันต้องไม่ประมาทอย่างเดียวเท่านั้นชีวิตถึงจะดำเนินต่อไปได้ปกติ เลยต้องนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อคูณที่ท่านบอกว่า นิมนต์ท่านไปไว้ในรถ ถ้าขับเร็วเกินร้อยท่านก็กระโดดหนีแล้ว (หัวเราะ)”

 

วิพากษ์ “ยุคนี้คุณภาพคนต่ำ”

ในภาวะสังคมที่แตกแยกเช่นในปัจจุบันทั้งความไม่เป็นธรรมและเกิดความเหลื่อมล้ำทุกหย่อมหญ้า   คุณปิยะณัฐได้สะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงระคนเศร้า  “ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ครั้งนี้ถือเป็นการ

เปลี่ยนชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ของผม เพราะทำอะไรก็ทำไม่ได้ ยิ่งสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้มันทำให้ยิ่งมีความรู้สึกว่าเสียโอกาสไปเยอะที่จะมีส่วนตอบแทนแผ่นดิน ทุกวันนี้จะติดตามมาถึงตัวผม ทำให้ผมต้องรับรู้ตลอดเวลา เพราะจะมีคนมาปรับทุกข์และมาขอให้แสดงความเห็น ตรงนี้ก็มีเป็นประจำ ผมกำหนด

ความเหมาะสมของตัวเองอยู่ว่าเราควรยืนอยู่ตรงไหน เพราะวันนี้มันอ้าขาผวาปีกไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน พยายามจะหาขอบเขตที่เหมาะสมให้กับตัวเอง วันนี้เรายังยืนด้วยตัวเองไม่ได้ จะไปให้ความเห็นเกินความ

สามารถของเรามันก็คงลำบาก ผมเลยต้องอยู่แบบเจียมตัว

 

“สิ่งที่ผมอยากจะทำงานให้กับแผ่นดินหากสายตายังดีอยู่ก็คือ การมีส่วนร่วมที่บ้านเมืองเกิดวิกฤตขณะนี้ ทุกคนน่าจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา ผมกำลังมองว่า ขณะนี้คนที่เอาตัวรอดได้พยายามจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่คนที่เอาตัวรอดไม่ได้แทนที่จะแก้ปัญหา กลับกลายไปสร้างปัญหา จะว่าเป็นความอ่อนด้อยทางสติปัญญา

หรือความรับผิดชอบน้อยไม่ทราบ เพราะว่าคุณภาพของคนทุกระบบมันต่ำลง หมายความว่าคุณภาพของคนไทยวันนี้มันจะน้อยกว่าเมื่อก่อน มันทำให้ผมเศร้าใจมาก โดยเฉพาะคนในกระบวนการยุติธรรม ทำไมปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ ผมว่าองค์กรนิติบัญญัติบ้านเราวันนี้มันแย่ลง (หัวเราะ) พูดไปเหมือนหมาจิ้งจอก

เห็นองุ่นเปรี้ยวนั่นแหละ เพราะผมไม่ได้อยู่ในสภาแล้ว

 

“ผมชอบคำพูดอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย ที่ว่า เราไม่สามารถจะทำให้ทุกคนร่ำรวยเสมอกันได้หมด แต่เราสามารถทำความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกัน แม้คนที่มีอำนาจจะไม่ช่วยทำให้

เกิดความเป็นธรรมในแผ่นดิน เพราะความทุกข์ความยาก อาจจะเกิดจากเศรษฐกิจ หรือความไม่พร้อมของคน แต่การสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้ มันจะเป็นความสดชื่นของคนในสังคม ความทุกข์ที่ผมมีอย่างมากคือความไม่เท่าเทียมกันในแง่ของความเป็นธรรม มันเป็นความคับแค้นที่หม่นหมองมาก อย่างอื่นมัน

อธิบายและยอมรับได้ แต่ถ้าความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว มันยอมรับไม่ได้หรอก

 

“ที่ผ่านมาผมเคยเรียกร้องเรื่องการศึกษาของคน การให้ความรู้กับคน ดูได้จากทุกวันนี้การศึกษากลายเป็นธุรกิจมากเกินไป การที่จะให้คนมีความรู้ ความคิด ทันต่อสถานการณ์มันกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์ไปแล้วการศึกษาไม่ได้ให้ความรู้ แต่เป็นการที่จะเอาใบปริญญา หรือใบประกาศนียบัตรมาสร้างคุณภาพคน ซึ่งมันไม่ใช่ แต่มันต้องให้ความรู้คนจริงๆ ผมไม่ชอบใจเลยกับคำสอนที่ว่า สอนให้คนคิดเองไม่ต้องให้จำ ตรงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า มันต้องสอนให้เขาจำตั้งแต่เด็กว่าอะไรคือสิ่งที่ดี อะไรคือสิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งที่ผิดหรือถูกมันก็จะติดตัวเด็กไป จะให้เด็กคิดเองอย่างเดียวมันคงไม่ได้ เพราะวันนี้สังคมไทยมีในเรื่องของ

ผลประโยชน์ และการเอาตัวรอดมากกว่ามันจึงเป็นงานที่ยากในการที่จะสร้างคนให้เป็นคนได้ แต่ถ้าจะเอาพระมาพูดกับโจรมันก็คงลำบาก” คุณปิยะณัฐยืนยันเป็นคนเกิดในยุค14 ตุลา เลยทำให้เห็นว่าระบบการเมืองไทยในวันนี้กำลังถอยหลังลงคลอง

 

อาชีพทนาย...สู่ทำเนียบรัฐมนตรี

คุณปิยะณัฐประกอบอาชีพทนายความและเข้าสู่งานการเมืองในปี 2518 โดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ศรีสะเกษ สังกัดพรรคธรรมสังคม ซึ่งมีคุณทวิช กลิ่นประทุม เป็นหัวหน้าพรรค จากนั้นเขาได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องอีก 1 สมัยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป ปี 2519 สังกัดพรรคธรรมสังคมเช่นเดิม  ต่อมาย้ายไปสังกัดพรรคเสรีธรรม ในการเลือกตั้งปี 2522 ย้ายไปพรรคชาติไทย ในการเลือกตั้ง ปี 2526 แล้วย้ายไปพรรครวมไทย ในการเลือกตั้งปี 2529 พรรคเอกภาพ ปี 2531 และพรรคกิจสังคม ในการเลือกตั้งปี 2535 ทั้งสองครั้ง  จากนั้นได้ย้ายกลับไปสังกัดพรรคชาติไทยอีก

ครั้งในปี 2538 และสังกัดพรรคความหวังใหม่ปี 2539

 

“ผมยังเสียดายวันที่ผมลาออกจากพรรคชาติไทย ผมไปลาคุณบรรหาร คุณบรรหารก็ได้ขอร้องผมว่าขอให้อยู่ช่วยกัน แล้วจะให้เงินและตำแหน่ง เพราะตอนนั้นผมรุ่งเรืองมาก เป็นดาวสภาด้วย ถือว่ามีบารมีพอสมควร ความรุ่งเรืองของพรรคความหวังใหม่ในยุคก่อนมีคนสนับสนุนมากมาย ถ้าผมไม่อยู่พรรคความหวังใหม่ผมคงต้องเหนื่อยที่จะต้องแข่งกับพรรคความหวังใหม่รู้สึกเหนื่อย นั่นผมมองในเรื่องประโยชน์ของตัวเอง มันทำให้ผมเสียโอกาสไป แต่ถ้ายอมเหนื่อยตั้งแต่ตอนนั้นก็คงไม่เป็นแบบนี้ มีหลาย

ครั้งที่ผมตัดสินใจผิดทางการเมือง”

 

สำหรับคุณปิยะณัฐ เคยเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในปี 2518 และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย ในปี 2519 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ในปี 2526 ต่อมาในรัฐบาลของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

(ปี 2534) กระทั่งสิ้นสุดลงจากการยึดอำนาจของ รสช. จนเป็นที่มาของวลีทางการเมืองที่คุณปิยะณัฐกล่าวไว้ว่า “ผมหมดหวังทางการเมืองแล้ว ที่เล่นการเมืองต่อไปก็เพื่อประคับประคองไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง

กว่านี้ ตอนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรักษาอำนาจเอาไว้ เรื่องของอุดมคติ อุดมการณ์เก็บไว้ในลิ้นชักก่อน”

 

ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ในรัฐบาล บรรหาร ศิลปอาชา และในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีในที่สุด ในการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2544 ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน

ราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคไทยรักไทยลำดับที่ 33 และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 11 แม้ว่าจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาล แต่ก็ลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีฝ่ายเดียวกัน รวมทั้งยังร่วมกับฝ่ายค้านในการลงชื่อยื่นถอดถอนกรรมการป.ป.ช. อีกด้วย

 

อุดมการณ์ไม่เคยเปลี่ยน

ชีวิตครอบครัวที่มีความสุข คุณปิยะณัฐ สมรสกับคุณวิจิตรา วัชราภรณ์ อดีต รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีบุตร 3 คน ตุ๊กตี่-ณัฐณิชา อายุ 32 ปี จบปริญญาตรี-ปริญญาโท Essex International Trade Law U.K และ Durham International trade and commerciallaw U.K, ติ๊ต่าง-ณัชชนันทน์ อายุ 30 ปี จบด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มหาวิทยาลัย

ธรรมศาสตร์ และ ไตรตรง-พงศ์วุฒิ อายุ 25 ปี จบรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

“ผมสอนลูกทุกคนให้รู้จักความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน ก็แล้วแต่โอกาสว่าเขาจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ตรงไหน ความเป็นอุดมการณ์ของผมในวันนี้ การพูดกับการทำมันต่างกันไหม ถ้าผมเอาตัวรอดเพื่อความสบายก็น่าจะทำได้ แต่สิ่งที่ผมสู้มา ผมได้รับผลตอบแทนที่ไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไหร่ ก็พอใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ

ถ้าย้อนหลังกลับไป 40 ปี ที่เข้ามาอยู่ในวงการการเมือง อยู่ในส่วนที่รับผิดชอบ ผมมั่นใจว่า

ผมทำด้วยความเต็มใจ อะไรที่ไม่เต็มใจผมพยายามหลีกเลี่ยง และไม่ฝืนใจตัวเอง ถ้าให้ผมโหวตใน

สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย ผมก็จะไม่โหวตให้

 

“ผมเป็น ส.ส. ช่วงที่ คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายตำรวจติดตาม พี่ปรีดา พัฒนถาบุตร ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรี เลยได้รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2519 สมัยที่อยู่ในวงการการเมืองด้วยกันคุณทักษิณยังยอมรับฟังความคิดเห็นของผม พอผมจะทักท้วงในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย คุณทักษิณก็ยอมรับฟัง แต่พอคุณทักษิณฟังคนรอบข้างมาก

กว่าผม ผมเลยต้องออกจากพรรค ซึ่งน่าเสียดายที่การตามใจคุณทักษิณเพราะเห็นผลประโยชน์จะเป็นอันตรายที่จะทำให้สถานการณ์ต่างๆเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ จุดยืนการทำงานของผมตั้งแต่เป็นรัฐมนตรี มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ก็ยังมีการเสนอเงินให้นอกรอบด้วยแต่ผมไม่เคยสนใจเลย เพราะถ้าผมยอมคงต้องเดือดร้อน

 

“อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจมันมีเรื่องของผลประโยชน์ทั้งนั้น คนมันจะสุจริตหรือไม่สุจริตอย่าไปคิดว่าการกระทำจะวัดคนได้ มันอยู่ที่โอกาสคนไม่มีโอกาสพูดยังไงก็พูดได้ บางทีผมยังเสียดายเลยว่าคนคนนี้ไม่น่าจะเป็นแบบนี้เลย แล้วทำไมถึงมีข่าวความไม่โปร่งใส ตรงนี้มันอยู่ที่โอกาสของคน ดังนั้นระบบมันต้องมีการตรวจสอบเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าระบบไม่มีการคานอำนาจกัน ไม่มีการตรวจสอบ มันจะไว้ใจใครไม่ได้

 

“อุดมการณ์ทางการเมืองของผมในวันนี้ต้องยอมรับในสิ่งที่ถูกโดยมีเหตุผล เพราะถ้ามีเหตุผลมาอธิบาย ผมพอจะรับฟังได้ ผมยอมรับแม้จะฝืนใจตัวเอง แต่ถ้าไม่มีเหตุมีผลแล้วจะให้ยอมรับ ผมรู้สึกหงุดหงิด ตรงนี้ให้ผมลาออกจากความเป็นคนไทยดีกว่า เพราะยิ่งดูยิ่งหดหู่จริงๆ” ในวันนี้ถึงแม้คุณปิยะณัฐจะไม่ได้เข้าไปทำหน้าที่นักการเมืองในสภาเหมือนเคยก็ตามแต่ในมุมหนึ่งเขาก็ยังเชื่อว่า การรอดตายมาได้เป็นเพราะบุญที่เคยสั่งสมมา “ตามหลักพระพุทธศาสนาสอนว่า ทำบุญก็จะได้บุญ ทำกรรมก็จะได้กรรม ดังนั้น บุญหรือกรรม ใครจะมาก่อนกันขึ้นอยู่กับจิตของคนเราที่จะระลึกถึงอะไรก่อน ซึ่งถ้าทำกรรมอะไรไว้ ใจมันก็จะไปคิดถึงแต่สิ่งที่ไม่ดี ตรงนี้ก็นำพาเราไปสู่ภาวะที่เลวร้ายได้ในทางกลับกัน ถ้าคิดถึงบุญที่ได้ทำเอาไว้ ก็จะ

นำพาไปถึงผลบุญที่ดีนั่นเอง”