อาจารย์นุ ระพีพันธุ์ หมอดูธรรมะ ชนะกรรม

อาจารย์นุ ระพีพันธุ์ หมอดูธรรมะ ชนะกรรม

 

 

 

 

อาจารย์นุ ระพีพันธุ์
หมอดูธรรมะ ชนะกรรม

 

 

          ทุกวันนี้คนเราต่างมีปัญหาชีวิตหนักบ้างเบาบ้างแตกต่างกันไป ทว่าเมื่อปัญหารุมเร้าหนักอก คนส่วนใหญ่ก็มักอยากมีที่พึ่ง มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจและมีใครสักคนเข้ามาช่วยแก้ไขให้หลุดพ้นจากทุกข์โศกเคราะห์กรรมด้วยหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น  

 

            อาจารย์ระพีพันธุ์ พิสุทธิพันธุ์ หรือ อาจารย์นุ ระพีพันธุ์ ที่มีชื่อเสียงว่าเป็น “หมอดูธรรมะ ชนะกรรม” คนนี้ ปวารณาว่าจะขอใช้ความรู้จาก หลักสูตรอภิธรรมบัณฑิต มาช่วยคนที่อยู่ในสภาวะทุกข์ ดวงตก มีเคราะห์กรรม ให้รู้วิถีแก้กรรม ผูกดวงเสริมชะตาราศีในแบบโหราศาสตร์ไทยและใช้วิถีธรรมมาแก้ไขแบบที่ทำได้ด้วยตนเอง

 

            หลักสูตรอภิธรรมบัณฑิตในประเทศไทยนั้น กำเนิดขึ้นโดยพระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจาริยะ เป็นการเรียนหมวดพระอภิธรรมซึ่งเป็นหมวดหนึ่งในพระไตรปิฏกที่ประกอบด้วย พระวินัย พระวิสูตรและพระอภิธรรม การศึกษาพระอภิธรรมนั้นใครที่สนใจก็เรียนกันได้ ส่วนใหญ่สอนในวัดทั่วไป เช่น อภิธรรมโชติกวิทยาลัย วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เป็นต้น หลักสูตรพระอภิธรรมมี 3 ระดับ แบ่งเป็น 9 ชั้น ชั้นจูฬอภิธรรมมิกะตรีเรียนเรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพาน จูฬอภิธรรมิกะโท เรียนเรื่องปกิณณกสังคหะ เกี่ยวกับประเภทและความสัมพันธ์ระหว่างจิตและเจตสิกที่มีต่อเวทนา เหตุ กิจ ทวาร อารมณ์และวัตถุ จูฬอภิธรรมิกะเอก เรียนเรื่องข้อธรรมทั้งหลาย เช่น กุศลธรรม อกุศลธรรม อดีตธรรม อนาคตธรรม

 

ปัจจุบันธรรม ระยะเวลาการเรียน 7-9 ปี การเรียนพระอภิธรรมเป็นหมวดที่กล่าวถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงถึงสภาวะต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม คือ กายใจของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายโดยละเอียด เช่น กายกับจิตปรมัตถ์ เมื่อกล่าวถึงกาย (รูป) ในพระอภิธรรมหมายถึงรูปธรรม เช่น รูปขันธ์ จักขุปสาท จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจเรื่องความคิดจิตใจของมนุษย์ ชีวิตตนเอง เพื่อพัฒนาชีวิตให้เจริญก้าวหน้าอย่างถูกต้องตามวิถีทางธรรม

 

            แต่ก่อนที่อาจารย์นุจะหันเหชีวิตตนเอง  มาสู่การเป็นหมอดูธรรมะชนะกรรมเช่นทุกวันนี้ ก็ได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาแล้วหลายรสชาติบทบาทในช่วงที่ใช้ชีวิตกว่า 20 ปีที่สหรัฐอเมริกา ได้เป็นดีไซเนอร์ของบริษัทฮอลิเดย์ออนไอซ์  ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตามความใฝ่ฝัน เมื่อกลับมาอยู่เมืองไทยก็เข้าสู่วงการประกวดนางงามโดยใช้ชื่อว่า “อนุรัชนี” จนได้ตำแหน่งนางงามมากมายหลายเวที โดยเฉพาะการได้รับตำแหน่ง  Man of The Year  ทั้งที่เป็นสาวประเภทสอง   รวมถึงการเป็นเจ้าของร้านระพีเจมส์ซึ่งเป็นธุรกิจค้าขายเพชรที่สาวๆหลายคนใฝ่ฝัน

 

             กระทั่งเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา  อ.ระพีพันธุ์ ได้ลูกชายมาเลี้ยงดูด้วยความเต็มใจ มีชีวิตที่สมบูรณ์จนไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องพบกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่   อ.ระพีพันธุ์พูดให้ฟังว่า  “วันที่ได้รู้ว่าลูกเราเป็นออทิสติก เรารับไม่ได้มากๆ รับไม่ได้จริงๆ เพราะคิดว่าเราเองก็ Perfect ทุกอย่างทั้งฐานะชาติตระกูล มีคุณพ่อเป็นคุณหมอ คุณแม่เป็นพยาบาล ตัวเองก็เรียนเก่งมีความรู้ก็ดี เรียนก็เรียนจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของประเทศ มีเงิน มีความสุข มีชื่อเสียง จู่ๆ จะมามีลูกเป็นเด็กออทิสติกได้ยังไงกัน มันไม่ได้นะ พอไม่เชื่อก็พาลูกไปตรวจวันเดียวไปไม่รู้กี่โรงพยาบาล และก็ทำทุกอย่างให้ลูกหายเป็นเด็กปกติให้ได้ ยาแพงขนาดไหนก็ดิ้นรนขวนขวายหามา ตัดสินใจปิดร้านระพีเจมส์ พาลูกหาหมอ ดูแลลูกให้มันเต็มที่ ขอให้ลูกหาย มุ่งมั่นมาก ไปทำบุญไหว้พระไปเรื่อย หาพระหาเจ้าให้สบายใจวันนึงได้ไปที่วัดมหาธาตุ

 

เห็นอภิธรรมโชติกวิทยาลัย แล้วได้พบพระท่าน  ก็เลยเล่าให้ท่านฟังว่าเรามีลูกเป็นออทิสติก พระท่านก็บอกไม่ยากเลยโยม มาเรียนเลย เรียนอภิธรรมบัณฑิต ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ลูกหายจากออทิสติก คิดว่าเรียนแล้วจะได้ช่วยลูกให้หายได้ ก็ไม่เข้าใจว่าเรียนอภิธรรมแล้วจะมาช่วยให้ลูกเราหายจากออทิสติกได้อย่างไร ก็เรียนบ้างไม่เรียนบ้างจนเพื่อนบอกว่าระดับมันสมองอย่างเรานี่ต้องผ่านชั้นนี้ไปได้แล้ว หลังจากนั้นก็เร่งเรียนไปตามลำดับชั้นจนจบเป็นอภิธรรมบัณฑิตในเวลาประมาณ 7 ปี ครึ่งและก็ภูมิใจมากเพราะเราถือว่าเป็นอภิธรรมบัณฑิตที่เป็นสตรีข้ามเพศคนแรกและคนเดียวในตอนนี้เลย”

 

            หลักสูตรอภิธรรมบัณฑิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับกายและจิตใจของคนเรานี่เอง ยิ่งเรียนยิ่งเห็นความจริงความเป็นไปของชีวิตตนเองมากขึ้น แต่ต้องปฏิบัติร่วมด้วยถ้าเรียนเอาแต่ท่องจำไปสอบเป็นตู้พระไตรปิฏกเคลื่อนที่ก็น่าเสียดาย อย่างน้อยพื้นฐานที่ควรเข้าใจคือ จิต เจตสิก รูป นิพพานและเรื่องสมถะวิปัสสนาก็ช่วยให้คนทั่วไปได้เข้าใจความเป็นไปตามธรรมดาของชีวิตได้ด้วย “ระหว่างนั้นก็รู้สึกว่า ลูกเราไม่หายแต่ดีขึ้น แต่เรากลับรับในสิ่งที่ลูกเราเป็นได้แล้ว คือการยอมรับความจริงของชีวิตลูกเราได้แล้วจากที่รู้ว่าลูกเป็นออทิสติกแล้วเรารับความจริงนี้ไม่ได้ เขาดีขึ้นส่วนหนึ่งก็มาจากที่เราพาเขาไปพบหมอด้วย ตอนนี้ลูกอายุ 16 ปีแล้ว”

            พอเริ่มเห็นความจริงของชีวิตตนเอง อาจารย์นุก็เลยรู้สึกว่าสิ่งที่ได้เรียนจากหลักสูตรอภิธรรมบัณฑิตนั้นน่าจะใช้ประโยชน์ได้กับการบอกความจริงของชีวิตให้คนอื่นๆ ได้รู้ความเป็นไปในชีวิตของเขาบ้าง ประกอบกับการที่มียายเป็นโหรและเคยรับการถ่ายทอดการผูกดวงจากยาย โดยวิธีแก้กรรมด้วยธรรมะก็เลยเริ่มจากค่อยๆดูดวงผูกดวงให้พรรคพวกเพื่อนฝูงจากปากต่อปากก็บอกต่อๆกันไปว่าตนเองเป็น “หมอดูธรรมะ ชนะกรรม” เพราะเอาหลักธรรมนำมาสู่การปฏิบัติให้เขาได้ไปใช้ในการดำเนินชีวิต ขจัดอุปสรรคปัญหาต่างๆ เพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้นในหลายๆ ด้าน

 

“เราก็โตมากับยายซึ่งเป็นโหรอยู่แล้วด้วย ก็เห็นยายผูกดวงดูโชคชะตาราศีให้คนโน้นคนนี้ ดูดวงบ้านดวงเมืองบ้าง แต่ยังไม่สนใจ เรารับการถ่ายทอดการผูกดวงตามหลักโหราศาสตร์มาจากยาย รับวิธีแก้กรรมด้วยหลักธรรมก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมากกับทุกคน ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองสนใจเรื่องการผูกดวง แก้กรรม ยายบอกว่าถ้าดาวชีวิตเป็นแบบนี้ก็ต้องทำแบบนี้ เราก็แค่ทรงไว้ แค่รู้เรื่อง  สิ่งที่เราได้เรียนมาจากอภิธรรมบัณฑิตทำให้เราค่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจความเป็นธรรมดาโลก ธรรมดาชีวิต จากที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะเข้าใจหรือนึกถึงเรื่องความเป็นไปในธรรมดาชีวิตคนเรา เหมือนที่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกเราถึงเป็นออทิสติก จากอดีตเราไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าเป็นกรรมของเราร่วมกับกรรมของลูก ชีวิตคนเกิดมาไม่มีความบังเอิญ มีแต่เหตุและปัจจัย ชีวิตคนไม่มีคำว่าบังเอิญ  

 

ทุกอย่างทำเหตุมาและต้องรับปัจจัย ปัจจัยคือผล ทำเหตุมาด้วยกันก็ต้องมารับผลของการกระทำคือกรรมร่วมกัน ทำกันมาเมื่อไหร่ไม่รู้ ผลจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดผล เกิดเหตุ กรรม คือสิ่งที่เราต้องรับ รับกรรม ทุกวันนี้เราก็บอกกับใครๆ ได้ว่าเรามีลุกเป็นออทิสติก ผลจากการเรียนอภิธรรมบัณฑิตมาทำให้เราเห็นกรรมของตนเองและรู้ว่าถ้าทำกรรมแบบนี้ก็จะต้องได้รับผลของการกระทำหรือรับผลกรรมนั้นในที่สุด หนีไม่พ้น กรรมมักมาตอนที่เราเผลอ ไม่ได้มาตอนที่เรารู้ตัวหรือมีสิทธิ์จะตั้งรับได้ทัน กรรมก็มีหลายรูปแบบในทางพระพุทธศาสนา มีกรรมที่ให้ผลในชาตินี้หรือต้องเกิดในวิถีแห่งกรรมของชาตินี้ เตรียมตัวรับได้เลยถ้าทำแบบนี้ ลูกเราก็ให้ผลกรรมกับเราในชาตินี้ วิธีแก้กรรมไม่มีทางไหนได้นอกจากรับกรรม จะได้ชดใช้หนี้กรรมให้หมดหรือเบาบางลง เรียกว่า รับกรรมด้วยความยินดี ตามวิถีแต่ละคน เป็นอโสหิกรรมคือการเอาบุญมาแก้กรรม เรียนเรื่องกรรมนี่ไปขนลุกขนพองตัวสั่นงันงกเพราะยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่าสิ่งใดที่เราทำเป็นกรรมแล้วผลจะเป็นอย่างไร นี่คือสิ่งที่อยู่ในพระไตรปิฏก ตอนนั้นที่พ่อรับเราไม่ได้เพราะเราอยากเป็นผู้หญิง ลูกเรา เขาไม่ได้ขอมาเป็นลูกเรานะ เราไปขอเขามาเป็นลูกของเราเองนะ      

 

เพิ่งรู้ว่าอภิธรรมเป็นทุกอย่างของชีวิต เอาไปช่วยคนที่มีปัญหาในชีวิตได้ วิธีการแก้กรรมของเราคือสวดมนต์ ทำบุญ ใส่บาตร แล้วแต่ดาวแต่กรรมของแต่ละคน คนเราทุกวันนี้มีปัญหาในชีวิตมาก ไม่พ้นเรื่องการเงิน การงาน ความรัก การดูดวงก็เหมือนได้ดูกรรมของตัวเอง ดิ้นรนมากๆ หาทางออกไม่เจอ เราเอาธรรมะมาช่วยชี้ให้เขาเห็นทางแก้ไข เอาสิ่งที่เป็นจริงมาบอก อภิธรรม ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราเลย เป็นจิต เป็นนิพพาน บาปบุญคุณโทษเป็นอย่างไร บาปให้ผลคือร้อนรุ่มกลุ้มใจ ลึกๆ ทำแล้วไม่สบายใจ บุญให้ผลคือความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ทุกคนรู้แต่ไม่ทำ ทำได้ไม่ยากแต่ไม่ทำ สวดมนต์คือทำให้มีสติสมาธิ เมื่อมีสติก็มีปัญญา เห็นแจ้ง ทำอะไรก็สำเร็จราบรื่น ใส่บาตรก็ได้ความสุข หน้าที่ของเราคือหน้าที่ดูจิตตัวเอง ไม่ต้องไปดูจิตคนอื่น คนสมัยนี้จิตใจไม่ค่อยดี อภิธรรมทุกอย่างเป็นตรรกะ ไม่มีอะไรเป็นของปลอม เรียนความจริงของชีวิต ยอมรับความจริงของชีวิตได้ ยอมรับกรรมได้ก็อยู่ได้กับความจริงก็มีความสุข”

 

            การผูกดวงชะตาเสริมราศีชีวิตตามจักรราศี ดวงดาวเจ้าเรือนธาตุ อาจเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการความเชื่อมั่นว่าชีวิตจะดีขึ้น แต่ก็ต้องอาศัยผู้ที่รู้หลักวิชาโหราศาสตร์และรู้วิธีแก้กรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการแก้กรรมนั้นมีหลักธรรมะมาช่วยปรับจิตใจ ทำให้เข้าใจความเป็นไปต่างๆ ในชีวิตได้ ก็จะสร้างดุลยภาพความสุขความสำเร็จได้ไม่ยากจากตัวเอง.
                                                        

 

 

 

สนใจปรึกษาเรื่องดวงชะตากับ อ.นุ  ระพีพันธุ์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 088-196-4936