เศรษฐา ศิระฉายา กับ...ชีวิตที่ขาดพระเครื่องไม่ได้

เศรษฐา ศิระฉายา กับ...ชีวิตที่ขาดพระเครื่องไม่ได้

 

 

 

เรื่อง  : สุทธิคุณ    กองทอง   ภาพ :   ชวกรณ์  สะอาดเอี่ยม

 

 

เศรษฐา ศิระฉายา กับ...ชีวิตที่ขาดพระเครื่องไม่ได้

 

"ถ้าฉันมี สิบหน้า อย่างทศกัณฐ์ สิบหน้านั้น ฉันจะหัน มายิ้มให้เธอ สิบลิ้น สิบปาก จะฝากคำพร่ำเพ้อ ว่ารักเธอ รักเธอ เป็นเสียงเดียว ถ้าฉันมี ยี่สิบตา อย่างทศกัณฐ์ ยี่สิบตา ของฉัน จะมองเธอไม่เหลียว ยี่สิบแขน จะสวมสอด กอดเธอผู้เดียว ยี่สิบสีดา อย่ามาเกี้ยว ไม่แลเหลียวมอง..."

 นี่เป็นส่วนหนึ่งในเนื้อเพลง "เป็นไปไม่ได้" ของวง ดิ อิมพอสซิเบิล ที่โด่งดังเมื่อ ๔๐ ปีที่ผ่าน จนทำให้ "เสี่ยต้อย" เศรษฐา ศิระฉายา ศิลปินแห่งชาติ  ในฐานะประธานกรรมการ บริษัท บริหารจัดการสิทธิศิลปินไทย จำกัด หรือ แอมต้า เป็นนักร้องนำที่โด่งดังมาตลอดกาล และโด่งดังอีกครั้ง ในฐานะพิธีกรรายการมาตามนัดเมื่อ ๑๐ ปีก่อนเช่นกัน

 

 แม้ว่าจะโด่งดังและมีงานจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง แต่หากวันใดลืมแขวนพระเครื่องออกจากบ้าน เศรษฐา บอกว่า ขอเลือกพระมากกว่าเลือกงาน และจะไม่ยอมทิ้งพระเครื่องเด็ดขาด ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน เสียเวลามากเพียงใด ก็จะต้องขับรถกลับมาเอาพระเครื่องที่บ้านทันที 

 

 ที่เป็นเช่นนี้เพราะชีวิตขาดพระเครื่องไม่ได้ โดยจะแขวนพระเครื่องติดตัวสลับกันไป ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน เช่น พระนางพญา กรุโรงทอ หรือ กรุวัดโพธิญาณ พระซุ้มนครโกษา ที่หาเช่ามาบูชาด้วยตัวเอง

 

 "แขวนพระเครื่องแล้วทำให้มีความสบายใจ" นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เศรษฐาขาดพระเครื่องไม่ได้ พร้อมกันนี้เขาบอกด้วยว่า การแขวนพระเครื่องก็เหมือนว่าเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง ไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหนมาไหน เรามีองค์ท่านติดตัว ก็ทำให้มีความสบายใจ

 

 การแขวนพระเครื่อง ก็ยังเป็นการเตือนสติให้เราไม่กระทำสิ่งใดที่ไปเบียดเบียนคนอื่น ดังนั้น การแขวนพระเครื่องไม่ใช่สิ่งที่สร้างความงมงาย แต่เป็นสิ่งที่คอยให้ทุกคนดำรงชีวิตอยู่อย่างมีสติ มีศรัทธา ที่จะเชื่อในคุณงามความดี และทำในสิ่งที่ถูกต้อง

 

 แม้ว่าเศรษฐาจะไม่เชื่อว่ามีพระแล้วท่านจะช่วยปัดเป่าไม่ให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ตั้งแต่แขวนพระเครื่องมาเป็นเวลาหลายสิบปี ก็ไม่เคยประสบอุบัติเหตุใดๆ ที่ร้ายแรงกับชีวิต

 

 เศรษฐา เล่าว่า ขนาดไปกราบสักการะหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ก็เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตเป็นประจำ ท่านเองก็ยังบอกว่า "พวกเราขับรถเร็วกูไปแล้ว กูจะไม่ได้อยู่กับพวกเอ็ง" ทำให้เชื่อว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นอยู่ที่ตัวเรานั่นแหละว่าประมาทกันมากน้อยเพียงใด

 

 "การกราบสักการะบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูอาจารย์ ล้วนเป็นสิ่งดี เพราะทำให้เราระลึกถึงพระคุณทั้งหลาย ของท่านเหล่านี้ ทำให้เรามีสติยั้งคิด ในการประกอบกิจการงานใดด้วย การไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส ตามหลักหัวใจ ของพระพุทธศาสนา ฉะนั้น ผมเชื่อว่าถ้าคนเรามีพระอยู่ในใจแล้ว ก็จะไม่กล้าทำบาป  ไม่กระทำความชั่วอย่างแน่นอน" เสี่ยต้อย กล่าว

 

 ส่วนมุมมองเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหาริย์ที่หลายคนแคล้วคลาด รอดตายจากอุบัติเหตุต่างๆ นั้น เศรษฐา บอกว่า น่าจะเป็นความบังเอิญมากกว่า เพราะเราจะเห็นว่าบางคนแขวนพระเครื่องราคาหลายสิบล้านบาท ก็ยังถูกยิงจนเสียชีวิตมาแล้วก็หลายคนบนหน้าหนังสือพิมพ์ ตรงนี้ก็เลยลองมานั่งทบทวนดูว่า คนเราถ้าไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุก็อย่าขับรถประมาท อย่ากินสุรา เพียงแค่นี้ก็ช่วยให้ไม่ต้องตายโหงก่อนเวลาอันควรแล้ว

 สำหรับความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น เสี่ยต้อย บอกว่า คนเราทำกรรมดีอะไรไว้ต้องได้ดี ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตอบสนองกลับมานั้นจะช้าหรือเร็วก็ตาม ใครทำความชั่วก็จะต้องได้ชั่วตอบแทน หากพูดถึงความดีความชั่วที่เราสามารถเห็นได้ทันทีก็คือ ถ้าคนเราทำดีจะได้ความสบายใจ มีความสุขกับการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องไปกลัวว่าจะมีศัตรูมาลอบทำร้ายเราเมื่อไร

 

 คนทำความชั่วก็จะได้รับผลชั่วทันทีเหมือนกัน คนเราทำชั่วก็จะไม่มีความสบายใจ เราจะมีแต่ความทุกข์ กลัวว่าจะมีคนจับได้ กลัวตำรวจมาจับ กลัวศัตรูมายิงตาย นั่นเราจะเห็นว่าเป็นความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นของคนทำชั่ว กฎแห่งกรรมจึงเป็นเรื่องที่คนเราทุกคนสามารถเห็นได้ในชาตินี้ไม่ต้องไปรอว่าจะไปชดใช้กรรมกันในชาติหน้า เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกรรมบันดาล

 

 นอกจากนี้ เสี่ยต้อย ยังบอกว่า มีงานที่จะต้องออกไปตั้งแต่เช้าเกือบทุกวัน ทำให้ไม่สามารถสวดมนต์ไหว้พระได้ทุกวันเหมือนกับชาวพุทธคนอื่นๆ สวดมนต์ได้เป็นบางวันเท่านั้น ดังนั้น ปฏิญาณกับตนเองเอาไว้ว่า ทุกวันจันทร์ซึ่งเป็นวันเกิดไม่ว่าจะออกไปทำงานเช้าหรือสายแค่ไหน ก่อนออกจากบ้านก็จะต้องสวดมนต์ไหว้พระทุกครั้ง แต่ละครั้งที่สวดมนต์ก็จะใช้เวลาประมาณ ๑๐-๑๕ นาทีก็เสร็จ พอได้ทำแล้วรู้สึกว่าสบายใจ

 

 ทุกวันนี้ทำงานเหนื่อยมากๆ กลับถึงบ้านได้ลองไปนั่งสงบใจภายในห้องพระที่บ้านก็ทำให้สบายใจได้เหมือนกัน ความทุกข์ หรือปัญหาที่พบพานมาในที่ทำงานก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้นอย่างมาก การเข้าห้องพระจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เพราะปฏิบัติแบบนี้มาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี ใครที่เป็นทุกข์ก็ลองทำดูจะพบความสุขทางใจได้ไม่น้อย

 

  "ผมจะบอกลูกน้องเสมอๆ ว่า คนเราทำอะไรจะต้องไม่ท้อ อย่าท้อ คนท้อไม่ใช่คนแท้ คนแท้ๆ ต้องไม่ท้อ ฉะนั้น เราจะทำอะไร ถึงวันนี้มันไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร เพราะคนเราไม่สามารถก้าวพรวดเดียวแล้วสำเร็จ กว่าจะสำเร็จได้ต้องมีล้มคลุกคลาน กว่าจะเป็นแชมป์โลกได้ก็ต้องแพ้มาบ้าง แตกบ้าง เย็บบ้าง คนเราเมื่อล้มแล้วอย่าเพิ่งไปท้อถอย อย่าไปทิ้งสิ่งที่เราฝัน แต่เราต้องพยายามทำให้สำเร็จ" นี่เป็นหลักธรรมที่เสี่ยต้อยนำมาใช้บริหารงาน