ลดกิเลสด้วยหนังสือธรรมะ องอาจ คล้ามไพบูลย์

ลดกิเลสด้วยหนังสือธรรมะ องอาจ คล้ามไพบูลย์

 

 

 

เรื่อง  : สุทธิคุณ    กองทอง   ภาพ :  ประเสริฐ เทพศรี

 

ลดกิเลสด้วยหนังสือธรรมะ องอาจ คล้ามไพบูลย์

 

"คนเราเกิดมาเพื่อ ๓ ก คือ เกิดมาเพื่อกิน เกิดมาเพื่อกาม เกิดมาเพื่อเกียรติ ถ้าลดและตัดกิเลส ๓ ก นี้ได้ นอกจากชีวิตจะมีความสุขแล้ว ประเทศชาติจะพัฒนาไปมากกว่าที่เป็นอยู่" 

นี่คือหลักธรรมของ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์  ในฐานะอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ที่ได้จากการอ่านหนังสือ เกิดมาทำไม ของ ท่านพุทธทาส 

โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว เมื่อว่างเว้นจากงานการเมือง นายองอาจ มักจะหยิบหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่าน ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนของท่านพุทธทาส พระพรหมคุณาภรณ์ (ท่านเจ้าคุณประยุทธ์) และอ่านพระไตรปิฎก ยิ่งหนังสือธรรมะเกิดมาทำไมของท่านพุทธทาส ถ้าใครได้อ่านก็จะพบว่าท่านสอนให้ดำรงตนอยู่ได้ด้วยความไม่ประมาท ตรงนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการอ่านหนังสือธรรมะของท่าน แต่ทุกวันนี้จะเห็นว่ามนุษย์อยู่ในสังคมด้วยความประมาท เพราะมีกิเลสเข้ามาครอบงำ มีความอยากต่างๆ มากเกินความจำเป็น ดังนั้นเราจะลดสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องใช้ธรรมะเข้ามาขัดเกลา สร้างสมดุลให้เกิดขึ้นในชีวิต 



นายองอาจ บอกว่า ชีวิตในสังคมที่วุ่นวายมีการแข่งขันเพื่อให้ได้มาในเรื่องของลาภยศสรรเสริญ คงยังมีอยู่ในทุกระดับชั้นของสังคมมนุษย์ คนรวยล้นฟ้าก็อยากจะรวยมากยิ่งขึ้น คนจนก็อยากรวย อยากมีเงิน ตรงนี้เป็นความอยากที่ยากจะถูกจำกัดเอาไว้แค่ความคิด อยากให้คนในสังคมได้อ่านหนังสือแล้วจะรู้คุณค่าของความเป็นมาเป็นมนุษย์ 



หนังสือธรรมะเหล่านี้ยังสอนให้เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ใครทำดีอะไรไว้ก็จะได้สิ่งดีๆ ตอบแทน ส่วนที่คนเราทำสิ่งไม่ดีอะไรไว้ วันหนึ่งก็จะได้สิ่งไม่ดีนั้นตอบแทน กลายเป็นวัฏจักรที่เวียนว่ายอยู่อย่างนี้ 



เนื่องจากชีวิตที่ผ่านมาได้เคยช่วยเหลือใครต่อใครมากมาย พอเขาได้ดีมีฐานะขึ้นมา หลายคนก็มาเกื้อกูลเราตอบแทน เช่น เมื่อครั้งลงสมัครรับเลือกตั้งปี ๒๕๓๙ เขตบางกอกน้อย เป็นเขตที่มีนักร้องลูกทุ่งอยู่หลายคน แล้วเราก็ได้ให้ความช่วยเหลือ ไม่ให้จะเป็นเรื่องการถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลรังแก พอมาถึงวันนี้พวกเขาเหล่านั้นก็ได้กลับมาช่วยเราหาเสียง


"ผมเคยช่วยเหลือนักร้องลูกทุ่งที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน ไม่ให้ถูกรังแก ผมก็ไม่เคยคิดว่าจากนั้นอีกสิบปีผมจะลงรับเลือกตั้ง ส.ส. นักร้องลูกทุ่งเหล่านั้นก็ระดมพรรคพวกเพื่อนฝูงมาช่วยผมหาเสียง เช่น สายัณห์ สัญญา ที่สมัยหนึ่งโด่งดังมาก แล้วเขาถูกรังแก ผมก็เข้าไปช่วย ผมคิดว่าการที่เราได้ช่วยเขา แล้ววันหนึ่งเขาก็กลับมาช่วยเรา ผมคิดว่ามันก็เหมือนกฎแห่งกรรมอย่างหนึ่ง" นี่เป็นความเชื่อในกฎแห่งกรรมของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 


เมื่อถามถึงพระเครื่องที่แขวนติดตัวประจำ นายองอาจ ได้ถอดพระออกจากคอมาให้ดู ซึ่งประกอบ พระสมเด็จวัดระฆัง, พระหลวงพ่อโบสถ์น้อย วัดอมรินทราราม, เหรียญหลวงพ่อทวด รุ่นน้ำเต้า ฯลฯ ทั้งหมดเป็นพระที่ผู้ใหญ่และคนในเขตบางกอกน้อยให้มา ที่สำคัญคือพระเหล่านี้เป็นพระที่คนในเขตบางกอกน้อยซึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้ง ส.ส.ให้ความนับถือมาก จึงได้แขวนติดตัว บูชา เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจของเรามากกว่าที่จะมองไปในเรื่องปาฏิหาริย์ 


โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกด้วยว่า เกิดมาเป็นคนไทยคงปฏิเสธกันไม่ได้ถึงคำอธิษฐานหรือขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์เป็นเรื่องที่ยากจะพิสูจน์ อะไรที่พิสูจน์ไม่ได้เราก็ต้องหาคำตอบ แล้วก็มองกันว่าเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ 



ขณะเดียวกันชีวิตที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีอุบัติเหตุที่ร้ายแรงอะไร พระเครื่องจึงเปรียบเสมือนเป็นสิ่งมงคลเพื่อความสุขทางด้านจิตใจ พระท่านก็เหมือนตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 


ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง พรรคก็จะไปไหว้พระแก้วมรกต วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จากนั้นก็เดินทางไปไหว้ศาลหลักเมือง องค์เสด็จพ่อ ร.๕ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และมาไหว้พระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่ที่ทำการพรรค โดยส่วนตัวก็จะไหว้พ่อด้วย (สนิท คล้ามไพบูลย์) 


สมัยที่พ่อเสียชีวิตใหม่ๆ จะเรียกว่าฝันหรือเปล่าไม่ทราบได้ เนื่องจากเวลานอนตื่นขึ้นมาแล้วเห็นพ่อมานั่งอยู่ตรงหน้าเหมือนได้พูดคุยกันเหมือนครั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ มองได้ว่าเป็นความผูกพันที่มีกันมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งท่านเสียชีวิต สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ตื่นขึ้นมาก็ต้องนั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน ทำให้ได้เห็นภาพแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง 



"เรื่องแบบนี้หรือเรื่องปาฏิหาริย์ ใครไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ว่าเกิดจากสิ่งใด ฉะนั้นเราจะบอกไม่เชื่อก็ไม่ได้ แม้เชื่อก็ไม่สามารถไปหาคำตอบได้ชัดเจนว่าเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะเหตุใด เช่นเราแขวนตะกรุดอยู่ในตัว หากเราไม่สบายมากแล้วเราหาย การหายป่วยก็อาจมาจากหมอ แม้ว่าหมอบอกว่าเป็นกรณีที่ค่อนข้างรักษาหายยาก ตรงนี้พอหายเราก็อาจเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างกายเราช่วยให้หายป่วย" นายองอาจ กล่าว พร้อมกับบอกด้วยว่า 


โดยนิสัยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบเข้าวัดทำบุญเป็นประจำ เช่น การทำสังฆทานเป็นประจำ แล้วหากเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาก็จะนำเงินไปถวายพระภิกษุสงฆ์บางรูปที่เราเคารพนับถือ เพราะคิดว่าท่านบวชเพื่อพระพุทธศาสนา จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นวัดสุทธาราม วัดมะลิ วัดสุวรรณารามวรวิหาร ฯลฯ 

"ผมทำงานด้วยจิตใจที่ค่อนข้างว่าง ไม่คิดให้จิตใจมีโลภ โกรธ หลง หรือชิงชัง ตรงนี้ก็ทำให้จิตใจไม่เศร้าหมอง ไม่เป็นทุกข์ เราก็จะมีจิตใจที่เบิกบาน แม้ว่างานที่ทำจะดูเครียดก็ตาม มีคนคอยถามผมอยู่เรื่อยว่า แก้เครียดได้อย่างไร ผมก็จะบอกว่า แก้ด้วยหลักธรรมไม่โลภ ไม่หลง" นายองอาจ กล่าวทิ้งท้าย 

"ผมทำงานด้วยจิตใจที่ค่อนข้างว่าง ไม่คิดให้จิตใจมีโลภ โกรธ หลง หรือชิงชัง ตรงนี้ก็จะทำให้จิตใจไม่เศร้าหมอง ไม่เป็นทุกข์"