ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาที่ลงโทษรสนาละเมิดอำนาจศาลเป็นยกคำร้อง ปตท.

ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาที่ลงโทษรสนาละเมิดอำนาจศาลเป็นยกคำร้อง ปตท.

 

 

 

 CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล

 

ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษาที่ลงโทษรสนาละเมิดอำนาจศาลเป็นยกคำร้อง ปตท. เพราะเห็นเจตนารสนาปรารถนาดีต่อประเทศชาติที่ต้องการให้ศาลพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
 
 
 
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษากลับคำพิพากษาเดิมขององค์คณะที่มีคำสั่งว่าผู้ถูกกล่าวหาที่1 (น.ส รสนา โตสิตระกูล) ละเมิดอำนาจศาลปกครองสูงสุด เมื่อ 22 ธันวาคม 2559 และมีบทลงโทษสถานเบาให้ตักเตือนนั้น ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาใหม่เป็นยกคำร้องของผู้กล่าวหา (ปตท.)ลงวันที่29 เมษายน 2559 และ ลงวันที่ 27 พ.ค 2559 ในส่วนที่ให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
 
ความเดิมของเรื่องนี้คือ เมื่อวันที่14 พ.ค 2559 ดิฉันได้เขียนบทความในเฟซบุ๊คตอบโต้บทความนายบรรยง พงษ์พาณิชย์ว่าคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ ฟ35/2550 เป็นการใช้หลักรัฐศาสตร์มากกว่าหลักนิติศาสตร์ โดยมีความตอนหนึ่งว่า “ ถ้าการแปรรูปไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายจริงๆ ศาลก็ต้องสั่งยกคำร้องของผู้ฟ้องคดี การที่ศาลปกครองไม่สั่งเพิกถอนการแปรรูป ปตท.ทั้งที่แปรรูปผิดกฎหมายต่างหากที่เป็นการใช้หลักรัฐศาสตร์มากกว่าหลักนิติศาสตร์มาตัดสิน”
 
ต่อมาดิฉันได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐเมื่อวันที่ 27 พ.ค 2559 คอลัมน์ผีเสื้อกระพือปีก เรื่องรัฐบาลต้องกำกับให้มีการบังคับคดีคืนท่อก๊าซให้ครบถ้วนตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) โดยมีความตอนหนึ่งว่า “การที่ศาลปกครองสูงสุดได้รับข้อมูลอันเป็นเท็จ และให้การรับรองว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 26 ธ.ค 2551 นั้นจึงเป็นเรื่องที่ทำให้รัฐเสียหาย และเสียประโยชน์” โดยดิฉันได้นำมติของคตง.เมื่อ 10 พ.ค 2559 มาอ้างอิง
 
ปตท.ได้นำบทความทั้ง2 บทมาฟ้องศาลปกครองในข้อหาว่าดิฉันละเมิดอำนาจศาล ต่อมามีหมายเรียกดิฉัน และ อาจารย์ศรีราชา วงศารยางกูร อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปให้ถ้อยคำในคดีละเมิดอำนาจศาล โดยมีนายวิษณุ วรัญญูเป็นตุลาการเจ้าของคดี
 
ดิฉันได้ทำหนังสือคัดค้านตุลาการเจ้าของคดีละเมิดอำนาจศาลและองค์คณะเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2559 ต่อมาศาลปกครองได้ตั้งองค์คณะมาพิจารณาคำคัดค้านของดิฉัน แต่มีคำสั่งยกคำร้องของดิฉันเมื่อวันที่ 5สิงหาคม 2559 โดยอ้างว่า ยังไม่มีคดีละเมิดอำนาจศาล หากมีคดีละเมิดอำนาจศาล ประธานศาลปกครองสูงสุดจะเป็นผู้จ่ายสำนวนให้แก่องค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป และยังไม่อาจคาดเดาว่าประธานศาลปกครองสูงสุดจะจ่ายสำนวนคดีให้องค์คณะใดเป็นผู้พิจารณา จึงไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นที่ดิฉันร้องคัดค้านตุลาการเจ้าของคดี มีคำสั่งยกคำร้องของดิฉัน
 
ต่อมาในวันที่22 ธ.ค 2559 ตุลาการวิษณุ วรัญญูและองค์คณะได้มีหมายเรียกดิฉัน อาจารย์ ศรีราชา วงศารยางกูร (ผู้ถูกกล่าวหาที่2)และนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ (ผู้ถูกกล่าวหาที่3)มาให้ถ้อยคำ
 
หลังจากนั้นมีคำพิพากษาว่าดิฉัน อาจารย์ศรีราชา และนายดนัยละเมิดอำนาจศาล และให้ลงโทษตักเตือน
 
ดิฉันจึงทำเรื่องอุทธรณ์ขอความเป็นธรรมไปที่ศาลปกครองสูงสุดว่า การพิจารณาลงโทษดิฉันในคดีละเมิดอำนาจศาลดังกล่าว น่าจะไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะดิฉันได้ร้องคัดค้านตุลาการเจ้าของคดี และศาลปกครองฯได้ยกคำร้องดิฉันอ้างว่ายังไม่มีคดีละเมิดอำนาจศาลจึงไม่พิจารณาคำคัดค้านตุลาการผู้พิจารณาคดี ต่อมาตุลาการที่ดิฉันร้องคัดค้านกลับเป็นผู้พิจารณาพิพากษาลงโทษดิฉันเสียเองในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลแม้จะเป็นโทษสถานเบาก็ตาม
 
ดิฉันได้อุทธรณ์ขอความเป็นธรรมกรณีถูกพิพากษาลงโทษในคดีละเมิดอำนาจศาล ต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้รับคำร้องอุทธรณ์ของดิฉัน ลงวันที่ 27 มีนาคม 2560 ที่ขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งชี้ขาดคดีละเมิดอำนาจศาลใหม่ในส่วนที่ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาที่1 (รสนา โตสิตระกูล)
 
ศาลปกครองฯวินิจฉัยว่า การที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งลงวันที่5 สิงหาคม 2559 ยกคำคัดค้านตุลาการของผู้ถูกกล่าวหาที่1 เป็นกรณีที่มีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม อันเป็นเหตุทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษา หรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ตามมาตรา 75 (วรรคหนึ่ง)(3) โดยเหตุว่า หากวินิจฉัยว่ามีเหตุแห่งการคัดค้านตุลาการจริง ตุลาการ องค์คณะที่ถูกคัดค้านย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้องขอให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาที่1 (น.ส รสนา โตสิตระกูล) ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลต่อไปได้แม้จะเป็นการลงโทษตามมาตรา 64 วรรคหนึ่ง(1) หรือ (2)
 
ดังนั้นศาลปกครองสูงสุดจึงรับคำร้องของดิฉันในการพิจารณาคดีที่ดิฉันถูกปตท.กล่าวหาว่าละเมิดอำนาจศาล และผลจากการพิจารณา ศาลได้ยกคำร้องของผู้กล่าวหา (ปตท.)ลงวันที่ 29 เม.ย 2559 และ 27 พ.ค 2559 ในส่วนที่ให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาที่1 ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
 
โดยองค์คณะชุดใหม่ของศาลปกครองตัดสินว่าข้อความในบทความทั้ง2บทความนั้น ศาลปกครองมีความเห็นว่า แม้ถ้อยคำของผู้ถูกกล่าวหาที่1 อาจมีลักษณะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีของศาลว่าใช้หลักรัฐศาสตร์มากกว่าหลักนิติศาสตร์มาตัดสินอันอาจมีส่วนทำให้ผู้อ่านสื่อบางคนเข้าใจว่าศาลมิได้พิจารณาพิพากษาคดี ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและอาจมีลักษณะเป็นการตำหนิหรือกล่าวหาว่าการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเป็นไปโดยไม่รอบคอบ รับฟังข้อมูลเท็จและให้การรับรองการกระทำที่ไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหายก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีของศาลแล้วเห็นว่า การทำหน้าที่ดังกล่าวของศาลย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและผู้ที่ไม่เห็นด้วย การเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพียงแต่การวิพากษ์วิจารณ์นั้นจะต้องเป็นไปตามหลักวิชาการมิใช่การวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากอารมณ์ความรู้สึกของผู้วิพากษ์วิจารณ์ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นอาจเข้าข่ายการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
 
“เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำของผู้ถูกกล่าวหาที่1(น.ส รสนา โตสิตระกูล ) แล้วเห็นว่าถ้อยคำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวย่อมเกิดจากเจตนาและความปรารถนาดีต่อประเทศชาติในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่ต้องการให้ศาลทำหน้าที่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน อันเป็นกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาที่1 วิพากษ์วิจารณ์ไปตามที่รับรู้ข้อมูลมา…แต่ถ้อยคำของผู้ถูกกล่าวหาที่1 ดังกล่าว ยังไม่มีลักษณะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากอารมณ์ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวอันอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล” จึงพิพากษายกคำร้องของผู้กล่าวหา(ปตท.)ที่ให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาที่1 (รสนา โตสิตระกูล)ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
รสนา โตสิตระกูล
10 มิ.ย 2565