อาจารย์โต้งกัลยาณมิตรของคนชายขอบ

อาจารย์โต้งกัลยาณมิตรของคนชายขอบ

 

 

 

 

 

 

  

 
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
 
 
 
อาจารย์โต้งกัลยาณมิตรของคนชายขอบ
 
 
 
ดิฉันจำไม่ได้แล้วว่าเริ่มรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์โต้งตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่แน่คือดิฉันน่าจะเป็นฝ่ายได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานก่อนที่ท่านจะได้ยินชื่อของดิฉันเสียอีก ความดังของท่าน ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นลูกหลานอดีตผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองในกลุ่มซอยราชครู แต่เพราะบทบาททางการเมืองทวนกระแสของท่านที่ทำเพื่อคนจน คนไร้สิทธิ์ไร้เสียงและเพื่อความถูกต้องเป็นธรรม อย่างเอาจริงเอาจัง ถึงลูกถึงคน จนทำให้ชื่อไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ เป็นแบรนด์เนมที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ในหมู่นักเคลื่อนไหวภาคประชาชนและแกนนำชาวบ้านระดับรากหญ้าทั้งหลาย ในมุมการเมืองทวนกระแสนี้เอง ที่นำพาให้ดิฉันโคจรมารู้จักกับอาจารย์โต้ง
 
 
จำได้ว่าครั้งหนึ่งในการประชุมร่วม2สภาสมัยที่ดิฉันเป็นส.ว.กรุงเทพมหานคร จากการเลือกตั้ง จังหวัดละ 1 คน ส่วนอาจารย์โต้งเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ อาจารย์เคยมาฝากให้ดิฉันช่วยอภิปรายประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนของคนชายขอบที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโครงการใหญ่ที่ไทยจะทำสัญญาร่วมกับต่างประเทศ ดิฉันถามว่าทำไมอาจารย์ไม่อภิปรายเอง อาจารย์บอกว่าทางพรรคขอไม่ให้อภิปราย
 
 
ดิฉันจึงรับหน้าที่เป็นมวยแทนให้ท่านด้วยความเต็มใจ อาจารย์โต้งให้ความสนใจเรื่องพลังงานที่ดิฉันเคลื่อนไหว บางครั้งก็ช่วยให้ข้อมูลลึกเกี่ยวกับการลงทุนของบริษัทพลังงานในต่างประเทศที่ไม่ชอบมาพากล เช่น กรณีการผ่องถ่ายเงินออกไปลงทุนในบริษัทบังหน้านอกประเทศอย่างเงียบเชียบโดยไม่เป็นข่าว หรือกรณีเรื่องปาลม์น้ำมันในอินโดนีเซียที่เป็นข่าวอื้อฉาว ท่านก็ปรับทุกข์ให้ฟังว่า คนที่ท่านรู้จักดีก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ช่วยทำให้ดิฉันเข้าใจแดนสนธยาของการฉ้อราษฎร์บังหลวงอันซับซ้อนที่เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันระดับสูงระหว่างนักการเมือง ข้าราชการและธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งแสงสว่างใดๆยากจะสาดส่องไปถึงได้ ดิฉันจึงกลายเป็นลูกศิษย์นอกห้องเรียนของท่านไปโดยปริยาย
 
 
ยิ่งกว่านั้นอาจารย์โต้งยังกระตือรือร้นผลักดันฝ่ายบริหารในพรรคการเมืองหนึ่งให้สนใจเรื่องพลังงานที่ดิฉันเคลื่อนไหวด้วย ทำให้ดิฉันได้รับเชิญไปคุยให้ข้อมูลเรื่องพลังงานกับฝ่ายบริหารและสมาชิกในพรรคนั้นหลายครั้ง แม้จะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่ดิฉันก็ซาบซึ้งในความจริงใจของอาจารย์เสมอ
 
 
 
 
 
ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่าเหตุใด คนที่กำเนิดมาในชาติตระกูลของครอบครัวทหาร ตำรวจและกลุ่มการเมืองที่ทรงอิทธิพลอย่างอาจารย์โต้งจึงเลือกเดินสวนทางกับกลุ่มผลประโยชน์ใหญ่ที่ตนสังกัดอยู่ และเลือกที่จะมายืนอยู่ข้างคนยากไร้ ชนชายขอบจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต และดิฉันก็ได้รับคำตอบเมื่อไปร่วมงานวันเกิดครั้งสุดท้ายของท่าน ซึ่งจัด ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพ เมื่อปีที่แล้ว ดิฉันรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นชายเจ้าของวันเกิดในชุดเสื้อกั๊กสีเหลือง มีผ้าพันคอสีน้ำตาลอ่อนพันรอบคอเพื่อปิดรอยโรคที่ยังกำเริบอยู่
 
 
เหตุที่ดิฉันสะเทือนใจและจำภาพนั้นได้ติดตาไม่ใช่เพราะเห็นภาพผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ยังทรหดสง่างามในท่ามกลางมวลมิตรสหายที่มาแสดงมุทิตาจิต แต่เพราะบนหน้าอกเสื้อด้านซ้ายของท่านติดเข็มกลัดลายเซ็นชื่อของ”ปรีดี พนมยงค์” ผู้นำคณะราษฎร ซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้ามทางการเมืองกับกลุ่มซอยราชครูที่มีคุณปู่ คุณพ่อ คุณลุงเขยของท่านเคยรุกไล่จนรัฐบุรุษอาวุโสท่านนั้นต้องนิราศร้างจากเวทีการเมืองไทยไป
 
 
ดิฉันไม่เคยรู้และไม่เคยถามอาจารย์โต้งว่า ท่านมีทัศนะอย่างไรต่อบุคคลผู้เป็นมันสมองคณะราษฎร เพียงแต่เคยได้ยินมาว่า อาจารย์โต้งเคยไปร่วมไว้อาลัยในพิธีลอยอังคารของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์เมื่อปี 2529 ดิฉันก็ได้แต่เพียงตั้งข้อสันนิษฐานว่าการแสดงออกของอาจารย์เช่นนั้น รวมทั้งบทบาททางการเมืองแบบทวนกระแสของท่าน น่าจะเป็นวิธีการบอกกล่าวอโหสิกรรมในทางสาธารณะต่อความขัดแย้งทางการเมืองในหนหลังของเหล่าบรรพบุรุษ นับว่าอาจารย์ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณเป็นสุภาพบุรษโดยแท้ที่กล้าแสดงความรับผิดต่อรอยด่างทางประวัติศาสตร์การเมืองที่ตัวท่านมิได้เป็นผู้กระทำเลยด้วยซ้ำ
 
 
ดิฉันโชคดีที่ได้มีโอกาสได้เยี่ยมไข้อาจารย์ในช่วงที่ท่านยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ท่านเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์ แม้ในเวลาป่วยหนัก ร่างกายผ่ายผอม ไร้สุ่มเสียง ก็ยังสามารถสนทนาโต้ตอบกับดิฉันอย่างมีพลังและมีชีวิตชีวา ถึงอนาคตการเมืองไทยด้วยการเขียนในแผ่นกระดาษ ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นเอกสารที่มีคุณค่าทางใจสำหรับดิฉัน ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนเยี่ยมไข้ กลับต้องมารับกำลังใจจากผู้ป่วยระยะสุดท้าย
 
 
ดิฉันเชื่อโดยสนิทใจว่า แม้อาจารย์โต้งจะล่วงลับไปแล้วนานเท่าไรก็ตาม กัลยาณมิตรธรรมของท่านที่มีต่อผองชนคนไร้สิทธิ์ ไร้เสียง จะเป็นที่จดจำไปชั่วกาลนาน
 
 
รสนา โตสิตระกูล
13 มิ.ย 2563
ในวันมารดน้ำอาจารย์โต้ง