ย้อนตำนาน…กรุง ศรีวิไล “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า” บทเรียนชีวิตอดีตฉายาพระเอกอินเตอร์ & พระเอกซุปเปอร์ลูกทุ่ง

ย้อนตำนาน…กรุง ศรีวิไล “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า” บทเรียนชีวิตอดีตฉายาพระเอกอินเตอร์ & พระเอกซุปเปอร์ลูกทุ่ง

 

 

 


เรื่อง : สุทธิคุณ  กองทอง • ภาพ : มาโนช ภาชีรัตน์, วชิระ อติประเสริฐกุล


ย้อนตำนาน…กรุง ศรีวิไล
“ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า”
บทเรียนชีวิตอดีตฉายาพระเอกอินเตอร์ & พระเอกซุปเปอร์ลูกทุ่ง


อดีตพระเอกชื่อดังที่โลดแล่นอยู่ในจอเงินและจอแก้วคู่วงการบันเทิงมานานหลายสิบปี โดยมีรางวัลการันตีที่เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต คือการได้รับพระราชทาน “ตุ๊กตาทอง” จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ที่สุดชีวิตก็พลิกผันไปเป็นนักร้องลูกทุ่งและก้าวสู่สนามการเมืองแบบเต็มตัว 

 
หากย้อนวันวานกลับไปแม้ว่า เอ็ด-กรุง ศรีวิไล จะก้าวสู่วงการบันเทิงด้วยความไม่ตั้งใจก็ตาม แต่ด้วยหน้าตาหล่อเหลาบวกกับความสามารถที่โดดเด่น จึงส่งให้ที่ผ่านมาเขามีผลงานการแสดงภาพยนตร์เกือบ 400 เรื่อง กระทั่งโดดเข้ามาเป็นนักร้องลูกทุ่งที่มีชื่อโด่งดัง จนได้รับฉายาว่า “พระเอกซุปเปอร์ลูกทุ่ง” วันนี้ไปตามติดชีวิตของเขาในฐานะนักการเมือง ภายในบ้านพักย่านโชคชัย 4 พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตยิ่งกว่านิยายที่ครบรสทุกชาติทีเดียว 

//พระเอกตลอดกาล...สู่สภาหินอ่อน

เขาเร่ิมต้นเล่าถึงชีวิตที่โคจรเข้ามาสู่เส้นทางการเมืองตั้งแต่เมื่อปี 2550 ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวงของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ต่อมาลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่บ้านเกิด จ.สมุทรปราการ ในนามพรรคพลังประชาชน และได้รับเลือกตั้ง แต่ต่อมาถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ใบเหลือง โดยอ้างว่าทุจริตการเลือกตั้งและสั่งเลือกตั้งใหม่ในเขตนั้น แต่ศาลได้ยกคำร้อง หลังจากที่พรรคพลังประชาชนถูกยุบก็ได้ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย 


ต่อมาเดือนสิงหาคม 2553 ประกาศย้ายไปร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย โดยเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยติดประกาศหน้าพรรคห้ามเขา กับ ส.ส.อีก 3 คน เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรค ส่วนเขากับเพื่อน ส.ส.อีก 1 คน และอดีต ส.ส. จากพรรคเพื่อแผ่นดินอีก 1 คน ตัดสินใจเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยในวันเดียวกัน


ในการเลือกตั้งปี 2554 ได้ลงสมัครเลือกตั้ง จ.สมุทรปราการ เขต 5 ในสังกัดพรรคภูมิใจไทย แต่สอบตก โดยพ่ายแพ้ให้กับ สลิลทิพย์ สุขวัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย แม้วันนี้ชีวิตไม่ได้เป็น ส.ส. แต่เขายังคงมุ่งมั่นลงพื้นที่เพื่อกลับเข้าสู่สภาหินอ่อนอีกครั้ง 

          “ตอนนี้มีการแสดงประปราย ไม่อยากเล่นแล้ว มันเหนื่อยมาก เพราะที่ผ่านมาผมต้องแบ่งเวลาไปลงพื้นที่พบปะกับพี่น้องประจำ สมัยหน้าจะลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.อีกหรือเปล่า ตรงนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย ช่วงนี้มีหลายพรรคเหมือนกันที่มาพูดคุยกัน แต่วันนี้้ผมอยู่กับพรรคภูมิใจไทยผู้ใหญ่ก็เมตตาดี ผมไม่ชอบเรื่องของการทุจริต การทำงานการเมืองทำให้ผมได้รู้จักคนมากขึ้น มุมมองของผมถ้าทุกคนเป็นตัวแทนของประชาชนจริงๆ ผมว่าประชาชนจะไม่ลำบากแบบนี้หรอก”


ปัจจุบันอดีตพระเอกชื่อดังยังดำเนินกิจการธุรกิจส่วนตัว บริหาร 2 แห่ง คือ บริษัท ซันยอง (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เอ.จี.คาร์ส (A.G.Cars) นำเข้ารถจากต่างประเทศ รวมทั้งเป็นผู้จัดการหมู่บ้านจัดสรรที่หมู่บ้านเมืองเพชรวิลเลจ 5 อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี และเป็นประธานกรรมการของสถานตากอากาศไทรโยค ริเวอร์วิว รีสอร์ท สำหรับชีวิตครอบครัวมีบุตรทั้งหมด 5 คน จากภรรยา 3 คน โดยภรรยาคนปัจจุบันชื่อ เหมียว-พรรณวิภา มีบุตรด้วยกัน 2 คน 


ทว่าสิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด คือ การได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก เมื่อปี 2551 และประถมาภรณ์มงกุฎไทย เมื่อปี 2552 อันถือเป็นเกียรติประวัติที่สุดในชีวิต

 ///ภูมิใจสูงสุด...พระเอกตุ๊กตาทอง
กรุง มีชื่อจริงว่า กรุงศรีวิไล สุทินเผือก (เดิมชื่อ นที สุทินเผือก) เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2489 ที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยชีวิตในวัยเด็กก็เหมือนเด็กหนุ่มๆ ทั่วไป มีเกเรบ้างก็เป็นไปตามวัย ในอดีตทางบ้านมีฐานะไม่ค่อยดี ทำให้ลำบากตั้งแต่เด็ก แต่พ่อแม่เห็นความสำคัญของการศึกษาจึงส่งลูกๆ ให้ได้เรียนทุกคน  


เข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนบางพลีน้อย หลังจากนั้นก็ต่อชั้นมัธยมปลายในตัวอำเภอ โดยอาศัยอยู่ในวัด จนเรียนจบชั้น ม.6 ได้ย้ายไปศึกษาต่อ ม.7 ที่โรงเรียนในตัวจังหวัด แต่ยังไม่ทันจบชั้น ม.8 ก็ตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ สอบเข้าโรงเรียนช่างกลปทุมวัน เรียนได้อยู่ 2 ปีเศษ ชีวิตมีอันพลิกผันอีกครั้งเมื่อเพื่อนชวนไปเที่ยวเชียงใหม่ ความที่เป็นคนไปไหนไปกัน ก็ไปทั้งที่ไม่มีเงินติดตัวมากมาย และใช้วิธีโบกรถไปตลอดทาง พอไปถึงที่ก็หาเงินด้วยการ “ชกมวย” เที่ยวเพลินจนกลับมาสอบไม่ทันเลยโดนให้ออกหมดทั้งกลุ่ม

จากนั้นจึงไปเรียนภาษาอังกฤษและพิมพ์ดีดเพิ่มเติม จนได้รู้จักกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งฝากเข้าทำงานที่กรมศุลกากร เป็นฝ่ายติดต่อราชการ งานด้านชิปปิ้ง ทำได้ 4 ปี จึงตัดสินใจเปิดร้านขายผ้าไหมส่งออกที่โรงแรมแมนดาริน และต่อยอดทำธุรกิจเพิ่มโดยเปิดร้านจิวเวลรี แต่พอย่างเข้าปีที่ 4 กิจการเริ่มไปไม่ไหว เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนก็หนีไปฮ่องกงพร้อมกับเงินสดในร้าน จนต้องปิดกิจการไปในที่สุด

กระทั่งอายุ 22 ปี ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ประมินทร์ จารุจารีต จึงชักนำเข้าสู่วงการภาพยนตร์ โดยให้ชื่อว่า “กรุง ศรีวิไล” ตั้งโดย เลียว ศรีเสวก (อรวรรณ) เป็นชื่อจากตัวละครเอกในเรื่อง “ลูกยอด” นิยายที่ตีพิมพ์ในนิตยสารบางกอก และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตการแสดง โดยแสดงคู่กับ เพชรา เชาวราษฎร์ ซึ่งเป็นช่วงที่ มิตร ชัยบัญชา เสียชีวิตแล้ว ทำให้บรรดาผู้สร้างหนังต่างพากันปั้นพระเอกหน้าใหม่กันอย่างคึกคัก 

โดยมาโด่งดังมากกับภาพยนตร์เรื่อง ทอง ภาค 1 กับเรื่อง ชู้ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องชู้นี้ทำให้ได้ “รางวัลตุ๊กตาทอง” และได้ “รางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมของเอเชีย” (Film Festival In Asia วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1974) จากภาพยนตร์เรื่องทอง ภาค 1 แสดงร่วมกับ เกริก มอริส และ คริส มิตชั่น พระเอกจากฮอลลีวูด ที่ส่งไปประกวดที่ไทเป หรือไต้หวันในปัจจุบัน จนได้รับฉายา “พระเอกอินเตอร์” ถัดจากนั้นเขายังแสดงนำคู่กับนางเอกดังมากมาย เช่น อรัญญา นามวงศ์, วันดี ศรีตรัง, ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์, เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, ธัญรัตน์ โลหะนันท์ ฯลฯ


“ตอนที่เข้ามาเล่นหนังอาเอ็ดก็ทำตัวปกติ ใช้ชีวิตแบบพออยู่พอกิน เพราะวงการบันเทิงนี้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของอาดีขึ้น แล้วมองเห็นชีวิตคนเราที่โด่งดังเป็นยังไง มันทำให้อาเอ็ดมีสติว่าต่อให้ดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครดังค้ำฟ้าได้” เขาย้อนอดีตสมัยเป็นพระเอกดัง

//พลิกบทบาท “นักร้องลูกทุ่ง”

หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานอย่างต่อเนื่องมากมาย แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อประสบอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ผ่าโลกบันเทิง จนทำให้เกือบเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่โชคดีที่รักษาได้ทันเวลา ซึ่งนั่นก็ไม่เคยทำให้เขาย่อท้อ กลับยังคงมุ่งมั่นในอาชีพนักแสดง ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นชื่อ กรุง หายไประยะหนึ่ง ต่อมาไม่นานก็มีคนตามตัวเพื่อให้เล่นหนังเรื่อง “ซุปเปอร์ลูกทุ่ง” ร่วมแสดงกับดาราตลกชื่อดัง ล้อต๊อก ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “พระเอกซุปเปอร์ลูกทุ่ง” และเริ่มมีการออกโชว์ตัวทั่วประเทศ เมื่อเห็นว่าไปได้ดีจึงฟอร์มวงดนตรี ใช้ชื่อเดียวกับหนัง คือ “ซุปเปอร์ลูกทุ่ง-กรุง ศรีวิไล” ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เดินสายเล่นดนตรีอยู่เกือบ 6 ปี ถึงจุดอิ่มตัวเลยตัดสินใจยุบวง 

“ตอนเป็นนักร้องเชื่อไหมว่า 365 วัน ไม่มีวันหยุดเลย แล้วไฟประดับบนเวที ผมเป็นคนริเริ่มทำเป็นวงแรก ในบ้านหลังนี้ก็จะมีแดนเซอร์อยู่เต็มไปหมด เพราะตกเย็นต้องเดินทางไปแสดงทุกคืน แต่ถึงจะดังแค่ไหนก็ยังกินข้าวราดแกงธรรมดาๆ เพราะไม่เคยลืมตัว” หลังจากหันหลังให้วงการบันเทิงไป 5 ปี เขาเริ่มหวนสู่จอแก้วอีกครั้ง ในช่วงแรกรับเล่นละครแนวจักรๆ วงศ์ๆ และพลิกบทบาทจากพระเอกมาเล่นเป็นตัวร้าย จวบจนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีงานแสดงอย่างต่อเนื่อง พร้อมฝากข้อคิดเตือนใจให้กับนักแสดงรุ่นน้อง รวมถึงนักการเมืองว่า “หัวโขนอย่าไปยุ่งอะไรกับมันมาก เพราะไม่นานทุกคนก็ตาย ไม่มีใครอยู่บนโลกได้เป็นพันปี ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า” ตอบพลางยิ้มมุมปาก สะท้อนแววตาอย่างคนที่เข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง