อยู่ให้เป็น ในยุคข่าวลวงเยอะกว่าข่าวจริง

อยู่ให้เป็น ในยุคข่าวลวงเยอะกว่าข่าวจริง

 

                                                                                                                                                      

 

 

CHANGE ปรับมุมคิด สะกิดมุมบวก

 

เรื่อง :  ชาคริต ดิเรกวัฒนชัย  This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 

อยู่ให้เป็น ในยุคข่าวลวงเยอะกว่าข่าวจริง

 

 

ต้องใช้วิจารณญานจริง ๆ ในการเสพข่าวปัจจุบันนี้ เนื่องจากแหล่งที่มาของข่าวมีมากกว่าที่เราจะตามทัน ทั้งข่าวจริงข่าวไม่จริงผสมปนเปกันไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวปลอมที่คนหลงเชื่อมักจะโดนเพิ่มเครดิตจากบุคคลใกล้ตัวที่น่าเชื่อถือ หรือบางครั้งก็มาจากสื่อที่เราไว้วางใจที่อาจจะพลาดเอาข่าวปลอมมารายงานต่อ สร้างความวุ่นวายใจหรือทำให้ท่านหลงดีใจเก้อไปกับข่าวที่มันไม่จริง

ข่าวลวง มีคุณสมบัติหลักคือทำให้ผู้เสพข่าว (ที่ใช้คำว่าเสพข่าวเพราะอาจเป็นข่าวที่มาจากการอ่าน การดู การฟัง หรือการบอกเล่าจากผู้อื่น) เกิดความรู้สึกสนใจได้ทันที มีการพาดหัวข่าวที่โดนใจผู้เสพ เพราะตัวผู้เสพเองก็มีความสนใจอยู่แล้วหรือมีแนวโน้มที่จะเชื่ออยู่แล้ว ทำให้อ่านปุ๊ป ฟังปั๊ป ก็จะเชื่อและคล้อยตามโดยทันที หลังจากนั้นก็จะพยายามบอกต่อโดยการแชร์ไปในช่องทางต่าง ๆ จึงเป็นต้นเหตุของการกระจายข่าวลวงไปโดยไม่รู้ตัว

ข่าวลวง ข่าวปลอม ทุกข่าวจะถูกบรรจงผลิต เพื่ออะไรผู้เขียนก็ไม่ทราบได้ แต่คาดว่าน่าจะเป็นการกระทำโดยความคะนอง ประสงค์ให้เกิดความเข้าใจผิด หรืออาจเป็นการพิสูจน์พลังเกราะป้องกันตัวของสังคมต่อข่าวที่ตนเองสร้างขึ้น อย่างเช่นเมื่อ 2-3 ปีก่อน มีข้อความข่าวปลอมส่งต่อทางไลน์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ที่มีผู้อ้างว่าตัวว่าเป็นแพทย์มาแนะนำวิธีการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการสโตรก ว่าสามารถแก้ไขอาการด้วยตนเองโดยไม่ต้องพบแพทย์ โดยแนะนำวิธีรักษาอาการต่าง ๆ ที่ล้วนแต่ไร้สาระ เพราะทั้งที่จริง ๆ แล้วผู้ที่มีอาการสโตรกต้องรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ซึ่งผู้ที่เสพข่าวนี้เองก็อาจคล้อยตามหลงเชื่อไปแล้ว เพราะเห็นว่าเป็นแพทย์เองที่มาแนะนำ และแย่ยิ่งกว่านั้นที่ส่วนใหญ่จะเห็นว่าเป็นข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น แล้วก็จะรีบแชร์ต่อไป ถ้าใครเชื่อว่าเป็นข่าวจริงและทำตาม แทนที่จะเป็นการรักษากลับจะทำให้เป็นอันตรายได้ อีกประเภทข่าวลวงคือข่าวที่เกี่ยวกับการเมือง ซึ่งต้องยอมรับว่าตอนนี้เรามีผู้ที่เลือกที่จะเชื่อหรือไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม ถ้าข่าวเป็นผลดีต่อฝ่ายตนเองและเป็นผลร้ายต่อฝ่ายตรงข้ามก็จะทำให้คนผู้นั้นเลือกที่จะเชื่อโดนทันที และก็จะทวีความโกรธเกลียดซึ่งกันและกันต่อไป

ท่านจะรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ได้ด้วยสิ่งเดียวคือ “สติ” ของทุกท่านเอง ใช้สติและเหตุผลเพื่อพิจารณาข่าวสารที่ท่านได้รับมา แม้ข่าวลวงคือข่าวปลอม แต่หลายๆ ครั้งข่าวลวงก็ไม่ได้เป็นข่าวเท็จทั้งหมด แต่เป็นความจริงที่ไม่ครบทุกด้าน หรือเป็นข่าวที่มีการรายงานเนื้อหาที่เป็นความจริงแต่ได้รับการนำเสนอในมุมที่เป็นอคติ ดังนั้นการใช้สติในการพิจารณาข่าวที่ท่านได้รับมาจึงเป็นสิ่งจำเป็น

เมื่อท่านได้รับข่าวมาขอให้ท่านพิจารณาดำเนินการดังนี้

หา: การหาแหล่งที่มาของข่าว ข่าวที่ดีเกินจริง ข่าวที่แย่เกินไป หรือข่าวที่ไม่ได้มีความต่อเนื่อง อยู่ดี ๆ ก็โผล่ขึ้นมา ท่านควรมีความรอบคอบโดยการพิจารณาหาแหล่งที่มาของข่าวว่ามาจากผู้ใด ข่าวมาจากสื่อจริง ๆ หรือเป็นข่าวที่ถูกส่งต่อ ๆ กันมาหลายทอด ถ้าพิจารณาแล้วทราบที่มาของข่าวว่ามาจากสื่อที่น่าเชื่อถือได้จึงค่อยเชื่อ สมัยนี้ท่านยังต้องมั่นใจว่าข่าวนั้นมาจากสื่อนั้นจริง ๆ ไม่ได้โดนเอาโลโก้มาลอกเลียน ดังนั้นท่านอาจต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเพื่ออ่านและตรวจสอบที่มาของข่าว ก็จะทำให้ท่านไม่หลงเชื่อกับข่าวลวงเร็วเกินไป

รอ: ก่อนที่จะหลงเชื่อ ท่านอาจต้องรอว่ามีผู้อื่นพูดถึงเรื่องนี้หรือไม่ หรือมีข่าวจากแหล่งอื่น ๆ ไหม เพราะถ้าเป็นข่าวที่น่าสนใจจริง ๆ ก็ต้องมีสื่ออื่น ๆ รายงานข่าวดังกล่าวด้วยเช่นกัน เปิดโอกาสรับข่าวจากหลายสื่อก่อนปักใจเชื่อ ถ้าไม่เห็นมีสื่ออื่น ๆ รายงานข่าวเดียวกันนี้ ท่านก็อาจจะต้องสะกิดใจตัวเองก่อนหลงเชื่อ

ถาม: ถ้าท่านได้รับข่าวมาจากเพื่อนในกลุ่มไลน์ของท่าน ท่านเห็นว่าเป็นข่าวที่มีแนวโน้มดีเกินจริงหรือแย่เกินไป ท่านควรถามในกลุ่มไลน์ไว้เลยว่าเป็นข่าวจริงไหม มีการตรวจสอบข่าวแล้วใช่ไหม การที่ท่านถามเข้าไปในกลุ่มก็เป็นการเตือนสติเพื่อน ๆ คนอื่นเหมือนกัน เพื่อไม่ให้เขาเชื่อโดยทันทีและช่วยกันตรวจสอบ อาจจะถอยหลังมาหนึ่งก้าวเพื่อมาช่วยกันตรวจสอบข่าวให้เชื่อมั่นเสียก่อนที่จะเชื่อก็ยังไม่สายไป

จำ: ข่าวลวง ข่าวปลอม มักจะกลับมาเป็นข่าวอีกครั้งได้เสมอ เพราะเมื่อคนลืมไปแล้ว ข่าวพวกนี้ก็ยังมีโอกาสกลับมาอีก บางครั้งท่านอาจอ่านเจอข่าวลวงพวกนี้มาแล้วและเคยได้รับการพิสูจน์ไปแล้วว่าเป็นข่าวปลอม แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะปีหรือสองปีจนคนส่วนมากลืม การแชร์ข่าวพวกนี้จากคนที่ลืมไปว่าเคยอ่านเจอก็จะกลับมาอีก กลายเป็นกระแสกันอีกครั้ง ดังนั้นหากท่านจำได้ว่าข่าวนั้นเป็นข่าวลวงที่เคยเจอมาก่อรนท่านก็จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของใคร

หลักการรับมือข่าวลือทั้งหมดอยู่ที่ “สติ” ของท่านเองที่จะไม่ปักใจเชื่ออะไรเร็วเกินไป ไม่ว่าแวบแรกที่ได้อ่านมันจะเป็นข่าวดีขนาดไหน หรือเป็นข่าวโศกนาฎกรรมขนาดไหน แม้จะอยากเชื่อข่าวเหล่านี้มากแค่ไหนก็ตามท่านก็ควรใช้วิจารณญานก่อนที่จะเชื่อทุกครั้ง การที่ท่านเป็นคนระแวดระวังข่าวลวงไม่เผลอแชร์ไปก่อน จะทำให้ท่านเป็นคนที่ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น และที่สำคัญข่าวที่ท่านยังพิสูจน์ไม่ได้ท่านยิ่งไม่ควรแชร์ต่อ เพราะถ้าข่าวนั้นเป็นข่าวปลอมแล้วละก็ นอกจากท่านกำลังตกเป็นเครื่องมือของเจ้าของข่าวในการสร้างความสับสนให้กับสังคมแล้ว ท่านอาจจะกำลังทำผิดกฎหมายจากการแชร์ข่าวปลอมอีกด้วย

ดังนั้นการรับมือข่าวลวง คือการใช้ “สติ” ของทุกท่าน อย่างที่เขาว่าไว้ “สติมา ปัญญาเกิด”