
แนวโน้มธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลไทย
- ในปี 2568 ธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลไทยยังคงเติบโตจากความต้องการไฟฟ้าฟอสซิลที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.6% แม้จะชะลอลงจากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ต้นทุนเชื้อเพลิงเฉลี่ยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติโลก ขณะที่ราคาขายไฟให้ภาครัฐมีแนวโน้มทรงตัว แต่ราคาขายให้นิคมอุตสาหกรรมอาจปรับลดลง
- รายได้จากการผลิตไฟฟ้าฟอสซิลเพื่อขายให้ภาครัฐในปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มเติบโต ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวที่ราว 1% แม้จะชะลอลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากผลกระทบของการชะลอตัวทั้งในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน
- รายได้จากการขายไฟฟ้าให้นิคมฯ ปี 2568 มีแนวโน้มหดตัว ตามความต้องการที่คาดว่าจะลดลงราว 3.6% เพราะการผลิตที่ยังหดตัว จากผลกระทบของสงครามการค้า อุปทานส่วนเกินจากสินค้าจีนที่ล้นตลาด และเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัวต่อเนื่อง
ภาพรวมธุรกิจไฟฟ้าฟอสซิลไทย
สำหรับธุรกิจไฟฟ้าฟอสซิลราว 80% ของรายได้มาจากการทำสัญญาขายระยะยาวกับภาครัฐ โดยแบ่งรายได้ออกได้เป็น 2 ส่วนหลัก ประกอบด้วย “ค่าความพร้อมจ่าย” ซึ่งจะได้รับแม้จะไม่มีการผลิตไฟฟ้าส่งเข้าโครงข่าย และ “ค่าไฟผันแปรตามต้นทุนเชื้อเพลิง” ที่จะได้รับเมื่อมีการจำหน่ายไฟ ทั้งนี้ ภาครัฐยังคงสามารถเจรจา ปรับเพิ่ม/ลด ราคาขายต่อหน่วย ตามความจำเป็นของสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและพลังงาน ขณะที่อีกราว 20% เป็นการขายให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมโดยจะทำสัญญาซื้อขายกันโดยตรง และมักอ้างอิงราคาค่าไฟของภาครัฐในการทำสัญญาซื้อขาย
ราคาขายและต้นทุนเชื้อเพลิงของธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลในปี 2568
ราคาขายไฟฟ้าให้ภาครัฐคาดว่าจะทรงตัว ขณะที่ราคาขายให้นิคมฯ มีแนวโน้มลดลง
1) ราคาขายไฟฟ้าให้ภาครัฐคาดว่าจะทรงตัว แม้ต้นทุนเชื้อเพลิงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความพยายามในการลดอัตราค่าไฟของภาครัฐเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน
2) ขณะที่ราคาขายไฟฟ้าให้ผู้ใช้งานในนิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลง ตามทิศทางค่าไฟฟ้าของภาครัฐที่อยู่ในช่วงปรับลดลง
ต้นทุนเชื้อเพลิงเฉลี่ยในปี 2568 คาดว่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นจากราคาก๊าซธรรมชาติ
ราคาก๊าซธรรมชาติ ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า แม้จะเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกภายใต้สงครามการค้า โดยราคา Platts JKM ซึ่งสะท้อนตลาดก๊าซธรรมชาติในเอเชีย คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจาก 12.07 USD/MMBtu เป็น 12.46 USD/MMBtu (รูปที่ 2) แรงหนุนหลักมาจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติทั่วโลกที่เร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสแรก ส่งผลให้ปริมาณก๊าซสำรองลดลง และหนุนราคาให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกของปี
แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิล
ภาพรวมอุปสงค์ไฟฟ้าฟอสซิลในไทยคาดว่าจะโตราว 0.6% ในปี 2568 ได้รับแรงหนุนจากการขายให้ภาครัฐซึ่งเป็นตลาดหลักที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 1% อย่างไรก็ตาม การขายไฟฟ้าตรงให้กับผู้ใช้งานในนิคมฯ กลับมีแนวโน้มลดลงราว 3.6% ส่งผลกดดันการเติบโตในภาพรวม
ตลาดผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้ภาครัฐ
รายได้จากการขายไฟฟ้าให้ภาครัฐยังคงมีแนวโน้มเติบโตในปี 2568 ตามความต้องการไฟฟ้าจากภาครัฐที่คาดว่าจะโต 1% (รูปที่ 3) ขณะที่กำไรต่อหน่วยอาจลดลง
ความต้องการไฟฟ้าจากภาครัฐยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่ชะลอลงจากปีก่อนหน้าตามความต้องการใช้ไฟที่ชะลอลงทั้งในภาคธุรกิจและครัวเรือน อย่างไรก็ตาม ราคาขายที่คาดว่าจะคงที่แม้ ต้นทุนเชื้อเพลิงเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้กำไรต่อหน่วยจากการขายไฟลดลง แม้รายได้จากการขายจะเติบโต
ความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจคาดว่าจะโตเพียง 0.2% ในปี 2568 (รูปที่ 4) จากการใช้ไฟในภาคผลิตที่หดตัว ขณะที่การใช้งานในภาคบริการก็คาดว่าจะโตช้าลง
1) ความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคผลิตคาดว่าจะลดลง 1.1% ในปี 2568 (รูปที่ 5) ตามกิจกรรมการผลิตที่มีแนวโน้มหดตัว เนื่องจากแรงกดดันของทั้งสงครามการค้าและอุปทานส่วนเกินของสินค้าจีนที่ล้นตลาด
2) ความต้องการใช้ไฟภาคบริการมีแนวโน้มเติบช้าลงโดยคาดว่าจะโต 2.2% (รูปที่ 5) ชะลอลงจาก 8.7% ในปีก่อนหน้า จากความต้องการใช้ไฟในธุรกิจ ขายส่ง/ขายปลีก โรงแรมและที่พัก และการจัดเก็บสินค้า ซึ่งรวมกันคิดเป็นเกือบ 70% ของการใช้ไฟฟ้าภาคบริการทั้งหมด ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นช้าลงตามจำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลของผู้ประกอบการใหม่ที่โตชะลอลง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่ได้รับแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะหดตัว 2.8% ในปี 2568
ความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนคาดว่าจะโต 2% ในปี 2568 (รูปที่ 6) ขยายตัวต่อเนื่องตามการเติบโตของเขตชุมชนเมืองและอัตราค่าไฟที่มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อน
การใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต รวมถึงได้รับแรงหนุนจากอัตราค่าไฟที่มีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม การเติบโตคาดว่าจะชะลอลงจากปีก่อนหน้า ตามจำนวนที่อยู่อาศัยตามทะเบียนบ้านสะสมที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น 1% ลดลงจาก 1.6% ในปี 2567 (รูปที่ 7)
ตลาดผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้นิคมอุตสาหกรรม
รายได้จากการขายไฟฟ้าให้นิคมฯ มีแนวโน้มหดตัวในปี 2568 จากความต้องการไฟในนิคมที่คาดว่าจะลดลง 3.6% (รูปที่ 8) และราคาขายที่มีแนวโน้มหดตัว
1) ความต้องการใช้ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมลดลงตาม สภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และ กิจกรรมการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง ซึ่งสะท้อนผ่าน MPI ที่คาดว่าจะหดตัวราว 3.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีปัจจัยกดดันหลักจากสงครามการค้าและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าจีนที่ล้นตลาด แม้ปัจจุบัน สหรัฐฯจะลดอัตราภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนจาก 145% เหลือเพียง 30% เป็นระยะเวลา 90 วัน และคาดว่าจะคงอัตราภาษีดังกล่าวยาวถึงสิ้นปี แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับสูง ทำให้แรงกดดันสินค้าจีนคาดว่าจะมีอยู่ตลอดปี
2) นอกเหนือจากความต้องการที่หดตัว ราคาขายไฟฟ้าในนิคมฯ ก็มีแนวโน้มลดลง ตามการปรับลดอัตราค่าไฟของภาครัฐ ส่งผลให้รายได้จากการขายไฟให้นิมคมฯ ในปี 2568 ลดลง
ความเสี่ยงของธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลในระยะกลางถึงยาว
- ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (ร่าง PDP 2024) มีเป้าหมายในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า โดยกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีแนวโน้มลดลงจาก 38,108 MW ในปี 2566 สู่ 30,453 MW ในปี 2580 หรือลดลงราว 20% ขณะที่สัดส่วนอุปทานเชื้อเพลิงฟอสซิลคาดว่าจะลดลงจาก 72% ในปี 2566 สู่ 49% ในปี 2580 อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การผลิตไฟฟ้าโดยเชื้อเพลิงฟอสซิลจะมีทิศทางลดลงได้อีก เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608
- ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มหันมาใช้ไฟฟ้าสะอาดมากขึ้น เนื่องจาก พ.ร.บ. Climate Change และกฎระเบียบการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่เคร่งครัดมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีการส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป ที่มีการใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ซึ่งทำให้ผู้ผลิตในนิคมอุตสาหกรรมเริ่มหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก
- อุปทานก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ต้องมีการนำเข้า LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (ร่าง Gas Plan 2024) ระบุว่าจากอุปทานทั้งหมด การจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในไทยมีแนวโน้มลดลงเหลือเพียง 36% ในปี 2580 จาก 55% ในปี 2567 สวนทางกับการนำเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้น โดยราคา LNG สูงกว่าก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าฟอสซิลมีทิศทางเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อุปทานก๊าซธรรมชาติในไทยอาจมีการเปลี่ยนแปลง หากมีการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่ยังไม่ทราบผลแน่ชัด และต้องใช้ระยะเวลา
หมายเหตุ
รายงานวิจัยฉบับนี้จัดทำเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความสมบูรณ์เพื่อใช้ในทางการค้าหรือประโยชน์อื่นใด บริษัทฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ตลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ผู้ใช้ข้อมูลต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ข้อมูลต่างๆ ด้วยวิจารณญาณตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงเองทั้งสิ้น บริษัทฯ จะไม่รับผิดต่อผู้ใช้หรือบุคคลใดในความเสียหายใดจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลในรายงานฉบับนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็น หรือคำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่อย่างใดทั้งสิ้น